อานิสงส์การรักษาศีล
ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ หนูขอทราบอานิสงส์ของกการรักษาศีล กับการให้ทานคะ..?”
หลวงพ่อ : “จำที่พระบอกในตอนท้ายได้ไหมล่ะ..
“สีเลนะ สุคติง ยันติ” การรักษาศีลเป็นปัจจัยให้มีความสุข สุขทั้งชาตินี้แหละชาติหน้านะ
“สีเลนะ โภคสัมปทา” ถ้ามีศีลนี้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ฝืดเคือง ชาติหน้าก็มีทรัพย์สมบัติมาก
“สีเลนะ นิพพุติง ยันติ” ศีลยังเป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานโดยง่าย
นี่ อานิสงส์ของศีล ท่านว่าไว้อย่างนี้
ส่วนการให้ทาน ท่านบอกว่า “ทานัง สัคคโส ปาณัง” ทานเป็นบันๆไดให้เกิดบนสวรรค์ การให้ทานมากก็ตามน้อยก็ตาม ผลของทานทำให้เกิดในสวรรค์ ถ้าหากว่าพ้นจากสวรรค์มาแล้วมาเป็นคนก็ไม่ยากจนเข็ญใจ แต่ว่ารวยเท่าไรนั้นเป็นเขตของทานนะ ท่านเรียกว่า “ปุญญักเขตตัง” เป็นเนื้อนาบุญ ถ้าเราให้ทานในเขตที่มีความบริสุทธิ์มากเราก็รวยมาก ให้ในเขตที่มีความบริสุทธิ์น้อย เราก็มีทรัพย์สินน้อย แต่คำว่าอดตายไม่มีสำหรับคนให้ทาน”
ผู้ถาม : “แล้วศีลกับทาน อย่างไหนได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ...?”
หลวงพ่อ : “อ้าว...มันคนละคนนี่หนู ต่างคนต่างแก่ต่างคนต่างกล้า ทานเขาให้ผลประโยชน์ไปอย่างหนึ่ง ศีลก็ให้ผลมีกำลังอย่างหนึ่ง แต่ว่าทั้ง 2 อย่างต้องใช้ร่วมกันนะ ถ้าแยกกันเทื่อไรก็พังเมื่อนั้นแหละ เรามีแต่ทานอย่างเดียว แต่บกพร่องในศีลทั้ง 5 ข้อ หรือข้อใดข้อหนึ่ง เราก็ตกนรก ต้องพ้นจากนรกมาก่อนแล้วจึงจะรวย ถ้าเรามีศีลอย่างเดียว ไม่มีทาน ชาติหน้าเกิดมาอายุยืน หน้าตาสวย แต่อดตายเอาซิ เอาอย่างไหนล่ะ เอาไงดี..?”
ผู้ถาม : “หมายความว่าต้องทำคู่กันใช่ไหมคะ..?”
หลวงพ่อ : “ต้องคู่กันไปหนู หนูไม่มีข้าวกินมาที่นี่ได้ไหม..?
รูปร่างดี รูปร่างสวยเพราะ ศีลข้อที่1
รักษาศีลข้อที่2 ได้ ทรัพย์สินไม่เสียหายเพราะไฟ เพราะน้ำ เพราะโจร
รักษาศีลข้อที่3 ได้ คนที่อยู่ในปกครองว่าง่ายสอนง่ายพวกที่มีลูกดื้อหลานดื้อเพราะพลาดศีลข้อที่3
รักษาศีลข้อที่4 ได้ เป็นผู้ที่มีวาจาไพเราะ พูดแล้วคนอื่นชอบฟัง
รักษาศีลข้อที่5ได้ ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคบ้า
แต่ว่าอด ไม่มีข้าวกินไหวไหม..? ดี 5 อย่าง แต่ไม่มีอาหารจะกิน ไม่มีผ้าจะนุ่ง มันต้องคู่กันหนู จะว่าอย่างไหนสำคัญกว่ากันมันไม่ควร ทาน ศีล ภาวน เป็นบุญกิริยาวัตถุ และ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
- การให้ทาน
- การรักษาศีล
- เจริญภาวนา ภาวนานี่หมายถึง สมถภาวนา หรือ วิปัสสนาภาวนา คือใช้ปัญญาคิดอยู่
ทานนั้นเป็นปัจจัยตัดโลภะ ความโลภ เป็นก้าวที่หนึ่งที่จถึงนิพพาน
ศีลเป็นเหตุตัดโทสะ ความโกรธ เป็นก้าวที่สองที่จะทำให้ถึงนิพพาน
ภาวนาเป็นตัวตัดกิเลสทั้งใหญ่และเล็ก เป็นปัจจัยให้กิเลสหมดจริง เข้าถึงิพพานแน่นอน
แล้วทั้ง 3 อย่างนี้จะถืออะไรสำคัญไปกว่ากันไม่ได้เลย ต้องถือว่าสำคัญเท่ากันหมด ถ้าเราขาดอย่างใดย่างหนึ่ง เราจะถึงนิพพานไม่ได้
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อาหารการบริโภคมีความสำคัญในการครองชีพ ร่างกายจะทรงตัวได้เพราะศีล ถ้าเรามีแต่อาหาร แต่ไม่มีร่างกายก็ไม่เป็นประโยชน์ใช่ไหม
...เรามีร่างกายดี มีอาหารดีแต่ไร้ปัญญาก็เป็นเยื่อของคนฉลาด เพราะตัววิปัสสนาญาณและตัวภาวนาเป็นตัวทำให้เกิดปัญญา
รวมความว่า 1.เรามีอาหาร 2.มีร่างกาย 3.มีปัญญา ทั้ง 3 อย่างนี้ต้องประกอบกัน หนูจะเลือกเอาอย่างไหนโดยเฉพาะล่ะ? เอาแต่ปัญญาดี ไม่มีร่างกาย ไม่มีอาหาร ดีไหม..? แล้วก็มีร่างกาย ไม่มีอาหาร ไม่มีปัญญา ดีไหม..? เอา 3 อย่างเลยสบายๆ”
ผู้ถาม : “รักษาศีล 8 ดูทีวี ได้หรือเปล่าคะ..?”
หลวงพ่อ : “ดูทีวี ได้ แต่ห้ามเต้นตามทีวี “เดี๋ยวๆอีหนู เอ้า อย่ารำคนเดียวซิ ข้าจะช่วยรำ” เสร็จ เต้นไปเต้นมา ทีวีเลิกเมื่อไหร่ไม่รู้เต้นเพลิน
ดูทีวี ความจริงก็ไม่เป็นไร ถ้าเราเป็นนักกรรมฐาน ดูได้ทุกอย่าง ดูอย่างนักกรรมฐานดูนะ ถ้าเป็นละครชีวิต มีสุขมีทุกข์บ้าง ทะเลาะกันบ้าง ก็ดูว่าภาวะอันนี้เป็นความจริงของโลก คนที่เกิดมาในโลก ถ้าเราเกิดมามันต้องประสบอาการอย่างนี้ เวลานี้เขาทะเลาะกันให้เราดู เขาแสดงการทะเลาะกัน เรายังไม่ได้ทะเลาะ สักวันหนึ่งเราอาจทะเลาะกับใครก็ได้ อย่างที่เขาเรียกว่า ดูเป็นกรรมฐาน”
ผู้ถาม : “ถ้าเราเดินไปเหยียบสัตว์เล็กๆ หรือปัดยุงแล้วไปโดนยุงตาย อย่างนี้ศีลขาดไหมคะ..?”
หลวงพ่อ : “ถ้าเป็นสัตว์เล็กๆ เดินไปเราไม่เห็น บังเอิญเราไปเหยียบตาย อย่างนี้ศีลไม่ขาด หรือสัตว์เล็กๆมันมาเกาะกินเลือดของเรา เราไม่คิดฆ่ามัน มันเกาะนานเกินไปก็ค่อยๆเอามือลูบให้มันหนีไป แต่บังเอิญมันหนีไม่ทัน ไปถูกมันตาย อย่างนี้ศีลไม่ขาดเพราะไม่มีเจตนาฆ่า”
ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ คนที่มีศีล 5 ไม่บริสุทธิ์ ถ้าจะเจริญพระกรรมฐานจะได้ผลไหมคะ..?”
หลวงพ่อ : “ถ้ามีศีล 6 ไม่บริสุทธิ์เจริญไปก็ไม่มีผล ถ้าถามว่าทำไมก็เพราะว่า ยังลงนรกอยู่ เจริญสมาธิเท่าไรมันก็ไม่พ้นนรก เพราะศีล 5 นี่มันปิดทางนรก ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งตัวที่ขาก นี่มันจะเข้ามาขวางเวลาเราจะตายเป็นกรรมที่เป็นอกุศล”
ผู้ถาม : “ฆราวาสถือศีล 6 ได้ไหมคะ..?”
หลวงพ่อ : “ได้ ศีล1 ยังได้เลย ศีลที่ 6 อะไรล่ะ..?”
ผู้ถาม : “วิกาลโภชนา ค่ะ แต่ว่าหนูทำงานเลิกเที่ยงแล้วอย่างนี้จะรักษาศีลข้อนี้ได้ไหมคะ..?”
หลวงพ่อ : “ถ้าเที่ยงแล้วเรายังไม่เลิกงาน ก็ถือว่าเราจะกินข้าว ไม่เกินบ่ายโมง หรือบ่ายสองโมง ตั้งเวลาไว้ใช้เลยใช้ได้ ไม่ใช่ 2 ชั่วโมงกินๆก็ต้องคิดเหมือนกัน”
ผู้ถาม : “ถ้าหากเป็นพระ ฉันอาหารเลยเที่ยงได้ไหมคะ..?”
หลวงพ่อ : “เวลาเดิมของพระจริงๆตามวินัยนี่ มันไม่ใช่เลิกฉันเที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าพระอาทิตย์ตรงศีรษะเริ่มฉันได้ แต่อย่าให้เงาพระอาทิตย์เลย 2 นิ้ว ความจริงท่านสั่งฉันเที่ยง แต่เงาเลยไป 2 นิ้วไม่ได้ 2นิ้วไม่ใช่น้อยนะ มาตอนหลังเลื่อนเข้ามาฉัน 5 โมง เลิกเที่ยง เวลานี้ถือตามพระวินัยแบบนั้น ชาวบ้านเขาถือว่าเลยเที่ยงไปแล้วฉันไม่ได้ หาว่าพระกินเลยเวลา”
ผู้ถาม : “ที่จริงหนูอยากจะถือเพิ่มหนึ่งข้อ คือข้อ นัจจคีตะวา แต่ว่าหนูยังชอบดูทีวีอยู่ค่ะ”
หลวงพ่อ : “ดูทีวี ก็ดูอย่าง พระโมลลาน์พระสารับุตร ดูมหรสพซิ ดูไปก็คิดว่าไอ้นี่มันทุกข์ ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ พยายามพิจารณาบ่อยๆถ้าจะให้ดีก็ถือให้ครบ 8 เลยเพิ่มข้อ มาลาคันธะ ไปด้วย”
ผู้ถาม : “รู้สึกว่าหนูจะทำไม่ได้ค่ะ เพราะว่ายังแต่งตัวทาหน้าอยู่ค่ะ”
หลวงพ่อ : “ก็ให้ถือว่า การเอาแป้งทาหน้า น้ำหอมใส่ตัวนี่เราทำเพื่อสังคม ถ้าในสังคมนั้นๆจำเป็นต้องแต่งตัวอย่างนั้นก็แต่งไป เราไม่แต่งเพื่อกิเลส ถ้าจิตเราตั้งอยู่แบบนี้ ศีลมันจะไม่ขาด”
ผู้ถาม “แล้วข้อที่ห้ามนอนที่สูงใหญ่ แต่ว่าพื้นที่นอนเป็นหินอ่อน เราเอาผ้าห่มรองตัวอย่างนี้ได้ไหมคะ...?”
หลวงพ่อ : “ได้..ที่นอนสูงนอน ที่นอนใหญ่ยัดด้วยนุ่นและสำลี อันนี้เขาป้องกันความลุ่มหลง ความฟุ่มเฟือย ถ้าจิตมันไม่คิดไปในด้านกิเลส ฉันว่าทำได้ ไม่เห็นแปลก
ศีล 8 นี่เป็นตัวธรรมะเสีย 4 ข้อ เป็นตัวศีลเสีย 4 ข้อ ถ้าผิดข้อ ปาณา, อทินนา ,มุสา , สุรา , ลงนรกแน่ แต่ตัวธรรมะ คือ อพรัหม , วิกาล ,นัจจคีตะวา , มาลาคันธะ , อุจจาสยนะ ถ้าพลาดมันไม่ลงนรกนะ
ข้ออพรัหมจริยา เวรมณี เราละเมิดเฉพาะสามี ภรรยาของเรา ไม่ได้ประพฤติล่วงเกินสามีภรรยาผู้อื่น ไม่ได้ขาดกาเมตัวนี้เป็นธรรมะ
ข้อวิกาลโภชนา เวรมณี ข้อนี้เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ มันบาปที่ไหนล่ะ
ข้ออุจจาสยนะ คือไม่นอนในที่นอนสูง ที่นอนใหญ่
ข้อมาลาคันธะ คือไม่ทัดดอกไม้ และของหอม อันนี้ไม่ได้ทำอะไรใคร ”
ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ ขโมยเงินพ่อแม่นี่บาปไหมคะ มีคนเขาบอกว่าขโมยเงินพ่อแม่ต้องจ่ายอยู่แล้วค่ะ”
หลวงพ่อ : “ไอ้บาปนี่แปลว่าชั่ว การขโมยเงินมันก็เป็นบาปทั้งหมด ถ้าเราขโมยท่าน ท่านไม่ชอบใจ ท่านก็ทำเฉย การขโมยของพ่อแม่ท่านชอบไหมล่ะ การกระทำอย่างนี้ชั่ว ฉะนั้นจึงบาป”
ผู้ถาม : “ถ้าหากท่านเห็นเล่าคะ แล้วเราหยิบไปเลย อย่างนี้บาปไหมคะ...?”
หลวงพ่อ : “ก็สาธุแล้วกัน ดีแล้วที่ไม่ว่าฉัน”
“ถ้าเราหยิบไป ท่านเห็นแล้วท่านไม่ห้ามปราม ไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นไร ถ้าหากท่านไม่ให้ ท่านห้ามเราก็ไม่หยิบก็หมดเรื่องไป การขโมยนี่จิตมันเริ่มชั่ว ตั้งแต่ก่อนที่จะกระทำ คิดจะขโมยน่ะ จิตมันชั่วแล้วนะ”
ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ ดิฉันไปซื้อดอกไม้แถวสนามหลวงราคา 150 บาท พอกลับมาถึงบ้าน บอกกับสามีว่าต้นไม้ราคา 50 บาท ที่บอกอย่างนั้นเพราะเกรงว่าสามีจะดุเอา ตอนหลังมานึกดูรู้สึกเสียใจคะ ไม่น่าโกหกเขาเลย อย่างนี้ศีลจะขาดไหมคะ..?”
หลวงพ่อ : “อย่างนี้เป็นการรักษาผลประโยชน์ไว้ไม่ได้ทำลายประโยชน์ ข้อมุสาวาทา จะขาดมันต้องทำลายประโยชน์ของบุคคลอื่น แต่นี่เป็นการพูดเพื่อรักษากำลังใจเขา มันมีประโยชน์แต่ว่าไปโกหกอย่างอื่นเอาเรื่องนะ อย่างเช่นของเลวบอกว่าของดี ของราคาถูกบอกของราคาแพง อันนี้มันทำลายประโยชน์”
ผู้ถาม : “หลวงพ่อครับ การเป็นตัวแทนจำหน่ายสุรา ศีลขาดไหมครับ”
หลวงพ่อ : “สุราเขาห้ามกินนะ แล้วคุณกินหรือเปล่าละ...?”
ผู้ถาม : “เปล่าครับ”
หลวงพ่อ : “ไม่กินก็ยังไม่ขาด พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็น มิจฉาวณิชชา แปลว่า ไม่ควรขายของที่มันผิดศีล”
ผู้ถาม : “และถ้าหากว่า ค้าขายอาวุธ ศีลจะขาดไหมครับ..?”
หลวงพ่อ : “ถามว่าศีลขาดไหม ก็ขอตอบว่าศีลไม่ขาด ถ้าเป็นอาวุธเราไม่ได้ไปฆ่าเขา คนอื่นเขาเอาไปฆ่าก็เป็นเรื่องของเขา แต่มันเป็นสิ่งไม่สมควร”
ผู้ถาม : “หลวงพ่อครับ ถ้าหากเอาเหล้ามาผสมเพื่อเป็นกระสายยา ดื่มเข้าไปแล้วศีลจะขาดไหมครับ”
หลวงพ่อ : “อย่างเอามาผสมเป็นกระสายยานี่ ถ้าไม่ปรากฏรส ปรากฏกลิ่น นี่ไม่มีโทษ แต่ประเภทกินยาดองใช้ยา 1 ช้อนกาแฟ ผสมเหล้า 1 ไห อย่างนี้ไม่ผิดศีล ชนศีลพังไปเลย อย่างนี้ให้อภัยไม่ได้”
ผู้ถาม : “ถ้าหากว่าผสมตามสูตรเล่าคะ คือว่าไม่ใช้ยา 1ช้อน เหล้า 1 ไหนะคะ”
หลวงพ่อ : “ทำตามสูตรเขาไม่เป็นไร ไม่ผิดโยม พระเขายังไม่ห้ามเลย แต่ว่าต้องไม่ปรากฏรส ปรากฏกลิ่นนะ
การถือศีล ถ้าเคร่งเกินไปก็เดือดร้อน พระพุทธเจ้าท่านให้ปฏิบัติทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา อย่าให้มันเป็น อัตตกิลมถานุโยค คือ เบียดเบียนตนเกินไป ต้องดูแค่พอเหมาะพอดี พอควร
ในอุทุมพริกสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับนิโครธปริพาชก บอกว่า “จงอย่าทำลายศีลด้วยตนเอง อย่ายุยงบุคคลอื่นทำลายศีล และจงอย่ายินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว”ท่านแนะนำอย่างนี้นะ”
ผู้ถาม : “ผลที่เห็นชัดๆว่าเราถือได้ ศีลบริสุทธิ์แน่ๆ พอจะรู้ไหมครับว่าตอนไหน...?”
หลวงพ่อ : “เมื่อเราตั้งใจเว้นแล้ว เราก็เว้นจริงๆไม่ทำ อย่างข้อที่1 ปาณาติบาตร สัตว์ที่ควรจะฆ่าไม่มีจิตคิดจะฆ่า ถ้าเรารักษาได้จะเป็นปัจจัยให้เกิดเป็นคนสวย เพราะศีลข้อนี้นี่แหละจะทำให้เรามีโรคภัยไข้เจ็บน้อย เพราะว่ามันเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์ ที่ว่าน้อยเพราะเราเคยเบียดเบียนกันมาบ้าง เมื่อเข้ามาในเขตการรักษาศีล บางทีเราเผลอไปบี้มดเข้าบ้างนั่นเป็นเรื่องของการเผลอ เป็นอาการของการเคยชิน แต่ว่าอารมณ์ส่วนใหญ่เราระมัดระวังอยู่ในศีล นอกจากที่ดังกล่าวมาแล้ว การรักษาศีลข้อที่ 1 ผู้ที่รักษาได้จะทำให้เป็นคนที่มีอายุยืนยาว อาจจะเต็มอายุขัยหรือเลยอายุขัยไปนิดหน่อย
ข้อที่ 2 เห็นของที่ควรจะขโมยได้ เราก็ไม่ขโมย เรารักษาได้ จะมีอานิสงส์เป็นพิเศษกว่าปกติ หรือทรัพย์สินของท่านทั้งหมดที่มีอยู่จะไม่มีภัยจากไฟไหม้ จากน้ำท่วม จากโจรขโมย แล้วก็หาความจนไม่ได้
ข้อที่ 3 เห็นโอกาสที่เราจะทำกาเมสุมิจฉาจารได้ เราก็ไม่ทำ ถ้าเรารักษาไว้ได้ คนในปกครองหรือในคณะทั้งหมดจะอยู่ในโอวาท คือว่าไม่ว่ายากสอนยาก คนในบังคับบัญชาจะไม่ล่วงละเมิดในแบบแผน หรือกฏระเบียบที่เรามีอยู่
ข้อที่4 เราจะโกหกได้ เราก็ไม่โกหก ถ้าเรารักษาได้ตามที่พระบาลีท่านบอกว่า จะเป็นคนปากหอม (แต่อย่าไปดมเข้านะ ถ้าลืมแปรงฟันละก็หงายท้องเชียวนะ) คำว่าปากหอมในที่นี้หมายความว่า พูดแล้วมีคนอยากฟัง อยากเชื่อ
ข้อที่5 มีเหล้ากินมีสุราดื่ม เราก็ไม่กิน ถ้าเรารักษาได้ ก็จะกลายเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
เมื่อเราประสบแล้วไม่ทำ คือเว้นได้จริงๆ ตอนนี้บริสุทธิ์แน่ และจะได้รับอานิสงส์ดังที่กล่าวมาแล้ว”
ผู้ถาม : “ถ้าอย่างนี้ การสมาทานศีล หรือรบศีลเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่บริสุทธิ์ใช่ไหมครับ..?”
หลวงพ่อ : “การสมาทานศีล ไม่ได้หมายถึงศีลบริสุทธิ์นี่คุณ นั่นเป็นคำขอ จะบริสุทธิ์ได้ต่อเมื่อจิตตั้งใจงดเว้นจริงๆ ตัวตั้งใจงดเว้นตัวนี้แหละเป็นตัวศีล”
ผู้ถาม : “แล้วอย่างชาวประมงที่เขามีอาชีพจับปลา โดยตรงจะทำยังไงล่ะครับ..?”
หลวงพ่อ : “”อาชีพเขาจริง แต่เวลาที่ก่อนจะตาย เขาคิดถึงบุญกุศล อย่าง ท่านสุปติฏฐิตะเทพบุตร เห็นไหม ทำชั่วทุกประตู วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น พอจะตายขึ้นมา นึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ แล้วก็พบพระพุทธเจ้าทีอีกหนึ่ง ฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระโสดาบัน”
ภาพ : google