กรรมที่ได้ติดตามมาแต่อดีตชาติ เรื่องที่ ๑

 

เมื่อประมาณปี ๒๕๑๕ ข้าพเจ้าได้พบอริยสงฆ์รูปหนึ่ง ชื่อหลวงพ่อเป้า ณ กุฏิหลังเล็กๆ หน้าปากถ้ำวัดพรสวรรค์ อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ในปัจจุบันนี้ และในทันทีที่พบเห็น ก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก จึงได้เข้าไปกราบไหว้และสนทนากับท่าน

 

ซึ่งท่านก็เมตตาให้ศีลให้พร และพูดคุยด้วยเป็นอย่างดี ดังนั้น นับตั้งแต่นั้นมา หากข้าพเจ้าไม่ได้ไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุง ข้าพเจ้าก็จะไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเป้า ที่กุฏิหน้าถ้ำ หรือไม่ก็ในถ้ำพรสวรรค์อยู่เสมอ (สมัยนั้นยังไม่มีโบสถ์ ไม่มีศาลา และกุฏิสงฆ์เลย) จนได้รับทราบว่า หลวงพ่อเป้าได้ออกธุดงค์มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และในที่สุดก็ธุดงค์ผ่านมายังที่แห่งนี้

 

ระหว่างที่ได้ปฏิบัติธรรมและเจริญพระกรรมฐานอยู่นั้น ก็เกิดนิมิต เห็นเทพซึ่งพิทักษ์รักษาถ้ำแห่งนี้มาเชิญให้เข้าไปพำนักเสียในถ้ำ และขอร้องให้อยู่ ณ ที่แห่งนี้เพื่อสร้างวัดพรสวรรค์ต่อไป ซึ่งหลวงพ่อเป้าท่านก็รับปาก และยินยอมที่จะอยู่เพื่อบำเพ็ญเพียรในถ้ำแห่งนี้ตลอดไป โดยในตอนเช้าก็ไต่เถาวัลย์ขึ้นจากถ้ำบิณฑบาต ผ่านป่าดงพงไพร ไปยังบ้านคนซึ่งแต่ละบ้านก็อยู่ห่างกันมาก และเมื่อกลับจากบิณฑบาตก็ไต่เถาวัลย์ลงถ้ำ หลวงพ่อเป้าเล่าว่า ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำแห่งนี้มา ๑๐กว่าปีแล้วเพิ่งจะออกมาอยู่ที่กุฏิเล็กๆนอกถ้ำ ดังที่ข้าพเจ้าได้เห็น เมื่อปีที่แล้วนี่เอง

                         ในระหว่างที่บำเพ็ญความเพียรอยู่ในถ้ำ ๑๐กว่าปีนั้น หลวงพ่อเป้าเล่าว่า “ในถ้ำมืดและชื้นแฉะมาก จนมีตะไคร่น้ำจับเต็มไปหมด นอกจากนั้นเถาวัลย์ ตันไม้และหญ้าขึ้นปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งงูเล็ก งูใหญ่ ก็เลื้อยยั้ยเยี้ยไปหมด เวลาจะขยับตัวจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ต้องกำหนดจิตพูดกับเขานะว่า


ถ้าเราถูกท่าน หรือท่านถูกเราบ้าง ก็ขอจงอย่าได้ถือสากันเลยนะ ทั้งเราทั้งท่านต่างก็เกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่าด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าท่านใดเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อเรา เราก็ยินดีมอบชีวิตให้ และจะไม่ถือโทษจองเวรจองกรรมต่อท่านเลย

 

ก็ปรากฏว่าหลวงพ่อก็อยู่ร่วมกับงูเหล่านั้นมาได้ถึง ๑๐ปี โดยมิได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย มิหนำซ้ำ เมื่อหลวงพ่อกลับมาจากบิณฑบาต บรรดาฝูงงูเหล่านั้นกลับมากันเลื้อยมาต้อนรับ พันแข้งพันขาหลวงพ่อ ด้วยความยินดีเหมือนเช่นลูกมาคอยต้อนรับการกลับของพ่อก็มิผิด และเมื่อได้ทักทายกันเรียบร้อนแล้ว งูเหล่านั้นก็เลื้อยแยกกันไปซอกหินบ้าง โพรงไม้บ้าง ปล่อยให้หลวงพ่อเจริญพระกรรมฐานได้ โดยมิรบกวนต่อกัน

                         เรื่องราวต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับหลวงพ่อเป้านั้น มีอีกมากมาย ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่ขอนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ แต่จะมุ่งสู่เรื่องของกรรมเก่าในอดีต ซึ่งได้ติดตามหลวงพ่ออย่างไม่ลดละ และได้ปรากฏผลในชาติปัจจุบัน จนทำให้หลวงพ่อต้องมีบาดแผลฉกรรจ์ เหมือนคนถูกคมมีดยาวประมาณถึง ๓นิ้วเศษ ที่บริเวณหน้าผากของท่านมาจนถึงทุกวันนี้ และแผลดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าตลอดจนคณะที่ได้ติดตามข้าพเจ้า ก็มีความสงสัยมาตลอด แต่ไม่มีผู้ใดกล้าถามหลวงพ่อ

 

                         จนกระทั่งวันหนึ่ง หลวงพ่อเป้า ก็ได้เมตตาคลี่คลายความเคลือบแคลงสงสัยดังกล่าวนี้ว่า

 

                         “เมื่อหลวงพ่อรับปากว่าจะพำนักบำเพ็ญเพียร อยู่ ณ ถ้ำแห่งนี้แล้วก็ขออนุญาตจากท่านที่ดูแลรักษาถ้ำว่า ขอให้หลวงพ่อได้มีสิทธิ์ทำความสะอาด และปรับปรุงสถานที่ภายในถ้ำได้บ้าง ซึ่งท่านก็อนุญาต ดังนั้นนับตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อก็เริ่มงานปรับปรุงไปทีละน้อย โดยปรับพื้นถ้ำให้ได้ระดับไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ แล้วค่อยๆหาหิน ปูน ทราย มาเทจนราบเรียน ส่วนตามผนังด้านข้างและด้านบน ก็ค่อยๆทำความสะอาดหักล้างถางพงไปเรื่อยๆ เมื่อเหนื่อยก็หยุดพัก เมื่อหายเหนื่อยก็ทำต่อ

 

                         มีอยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่หลวงพ่อกำลังพักเหนื่อย ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เมื่อหายเหนื่อยแล้ว เราควรจะทำความสะอาดผนังถ้ำด้านบน ทันใดนั้นเองก็มีหินก้อนหนึ่งตกลงมาที่หน้าผาอย่างจัง เสมือนหนึ่งถูกฟันด้วยคมมีดขนาดใหญ่ จนทำให้หลวงพ่อถึงกับผงะหงาย ชาวูบไปทั่วร่าง แต่ก็ยังพอมีสติค่อยๆประคองร่างลุกขึ้นนั่งได้ แล้วใช้มือลูบไปที่หน้าผาก ก็ปรากฏเลือดทะลักออกมากมาย เหมือนถูกน้ำราดทีเดียว หลวงพ่อก็มีความฉงนสนเท่ห์ใจนัก ด้วยไม่คิดว่าหินก้อนนั้นจะตกลงมาได้พอดิบพอดีกับที่หลวงพ่อแหงนหน้าขึ้นรับเสียด้วย

 

                         เมื่อสงสัยหลวงพ่อจึงกำหนดจิตตรวจดู ก็เกิดภาพนิมิตเห็นหมูตัวผู้คึกคะนองตัวหนึ่ง มานั่งอยู่ตรงหน้า และตามใบหน้าของหมูมีเลือดไหลทะลักเต็มไปหมด พอหลวงพ่อคิดจะถามว่านี่มันอะไร ก็เกิดภาพนิมิตเห็นตัวหลวงพ่อเอง กำลังยืนถือขวานผ่าฟืนใกล้ๆคอกหมู และในคอกหมูก็เห็นเจ้าหมูตัวนี้แหละ กำลังไล่ทับหมูตัวเมียอย่างคึกคะนอง อีกทั้งกัดหมูตัวผู้อื่นๆทุกตัวที่ขวางหน้า ทันใดนั้น ก็เห็นหลวงพ่อเองในภาพนิมิตโกรธมาก ถือขวานผ่าฟืนวิ่งไล่ฟันเจ้าหมูตัวนั้นจนทรุด และเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมา หลวงพ่อก็ใช้ขวานฟันลงไปตรงหน้าแงอีกครั้ง จนหมูตัวนั้นถึงกับสิ้นใจไปในทันที” หลวงพ่อเป้าหยุดเล่า ใช้มือลูบบาดแผลที่หน้าผาก แล้วพูดต่อว่า

 

                         “เมื่อหลวงพ่อเกิดความรับรู้ขึ้นเช่นนี้ ก็กำหนดจิตขออโหสิกรรมต่อหมูตัวนั้น และยอมรับผลแห่งกรรมด้วยความเต็มใจ โดยมิขอจองเวรกับเขาอีกต่อไป อีกทั้งยังแผ่ส่วนกุศลให้แก่เขาอยู่เสมอแม้กระทั่งทุกวันนี้”

 

                         นี่เป็นเรื่องของเวรกรรม ที่ได้ติดตามมาแต่อดีตชาติ และมาบังเกิดผลเอาในชาติปัจจุบัน และถ้าหากผู้ใดสนใจลองไปสอบถามหลวงพ่อเป้าดูด้วยตาของท่านเอง เพราะขณะนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่ และบำเพ็ญความเพียรอยู่ที่ถ้ำพรสวรรค์ อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์นี่เอง

 

เรื่องที่ ๒

                         เมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๕๑๗ ข้าพเจ้าได้เดินทางไปกราบนมัสการพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง ชื่อหลวงพ่อทอง ที่วัดเขาพลอง จังหวัดชัยนาท (ในขณะนั้นเป็นเจ้าอาวาส) และหลังจากที่ได้พูดคุยกับท่านมานานพอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้สังเกตเห็นว่า เท้าทั้งสองของท่านมีผ้าพันแผลอยู่อีกทั้งมีเลือดหนองซึมออกมาด้วย จนทำให้ท่านไม่สามารถจะเดินได้จึงสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า

 

                         “หลวงพ่อครับ เท้าหลวงพ่อเจ็บอย่างนี้ ไม่มีใครพาหลวงพ่อไปหาหมอเลยหรอครับ?”

 

                         “ไม่มีหมอคนใดในโลก รักษาให้อาตมาได้หรอกคุณ พวกลูกศิษย์เขาได้พยายามกันมามากต่อมากแล้ว ทั้งพาไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลมนกรุงเทพฯก็ไปมาแล้ว ต่างประเทศทั้งอังกฤษ อเมริกา ก็ไปมาแล้ว อาตมาเองก็ได้ไปบอกพวกเขาแล้วว่าอย่าเป็นกังวล มันไม่มีวันหายหรอก เขาก็ไม่เชื่อพาไปกันจนได้ แล้วมันก็ไม่หายจริงๆจนบัดนี้” หลวงพ่อตอบ อย่างไม่สนใจใยดีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของท่านนัก

                        “หลวงพ่อครับ บาดแผลภายนอกเป็นแค่หนองเท่านี้ น่าจะกรีดเอาหนองออก แล้วฉีดยา กินยา ก็น่าจะหายได้นี่ครับ” ข้าพเจ้ายังไม่ยอมเห็นด้วยนัก

 

                        “ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะหายนะ แต่สำหรับอาตมาแล้วไม่มีวันหายได้หรอก ขนาดตาปลั่ง ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ที่เขาพลองแห่งนี้ ยังรักษาให้ไม่ได้เลย คุณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมหาวีระ คงรู้จักตาปลั่งดีแล้วมิใช่หรือว่าท่านเป็นใคร ” (ตาปลั่ง ก็คือเทพชั้นสูงองค์หนึ่งที่พิทักษ์รักษาอาณาเขตของเขาพลอง เหมือน ท่านเทพฤทธิ์ ซึ่งพิทักษ์รักษากองบิน๔ที่ข้าพเจ้าได้เคยเอ่ยถึงมานั่นแหละครับ )

                        “รู้จักครับ หลวงพ่อ แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงต้องมีข้อยกเว้นด้วยเล่า สำหรับหลวงพ่อแล้ว ไม่มีหมอคนใดในโลกนี้สามารถรักษาหายได้?” ข้าพเจ้าถามด้วยยังข้องใจอยู่

 

                        “มันเป็นเรื่องกรรม ที่อาตมาได้ก่อเอาไว้ในอดีตชาติยังไงล่ะ ความจริงแล้วอาตมาก็ไม่อยากจะเอ่ยถึง แต่เมื่อคุณอยากรู้จะเล่าให้ฟัง อย่างน้อยก็เป็นการเตือนให้คุณรู้ว่า กรรมนั้นมีจริงๆ แม้จะหนีพ้นได้ในชาตินี้ แต่มันก็จะยังคงติดตามเราไปทุกชาติทีเดียวนะ ยิ่งอาตมาคิดจะเอาชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายด้วยแล้ว ก็ต้องยอมชดใช้กันไปเสียให้หมดเรื่องหมดราว เอาละ! เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตของอาตมา ที่เป็นผู้ก่อไว้จริงๆ

 

                        คือในชาติหนึ่ง อาตมาเกิดเป็นแม่ทัพจีน ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ยกทัพไปปราบกบฏที่แข็งเมือง เมื่อยกทัพไปถึง เห็นกองทัพของฝ่ายกบฏตั้งรับอยู่ที่นอกกำแพงเมือง อาตมาก็ส่งสัญญาณไพร่พลให้เข้าโจมตีทันที แต่เนื่องจากอาตมาซึ่งเป็นแม่ทัพ ขี่ม้าอยู่เพียงผู้เดียว ส่วนไพร่พลทั้งหลายล้วนเป็นพลเดินเท้าทั้งสิ้น จึงวิ่งตามม้าของอาตมาไม่ทัน ปล่อยให้อาตมาหลุดเขาไปอยู่ในวงล้อมของข้าศึกแต่เพียงผู้เดียว แต่ด้วยฝีมือการรบที่แกร่งกล้าเกรียงไกร จึงทำให้อาตมาปัดป้องอาวุธของทหารกบฏไว้ได้ โดยมิเพลี่ยงพล้ำ

 

อีกทั้งฆ่าไพร่พลของกบฏลงเป็นจำนวนมาก และก่อนที่อาตมาจะหมดแรง ไพร่พลก็บุกเขามาสมทบทัน และไล่ฆ่าฟันทหารกบฏล้มตาย จนบุกยึดเมืองไว้ได้ เมื่อเสร็จศึก อาตมาก็ปูนบำเหน็จรางวัลแก่นายกอง และไพร่พลโดยถ้วนหน้า แต่ในเวลาเดียวกันโทษก็ต้องเป็นโทษ เพราะไพร่พลทั้งหลายติดตามอาตมาซึ่งเป็นแม่ทัพไม่ทัน ปล่อยให้อาตมาตกอยู่ในวงล้อมของกบฏ ดังนั้นอาตมาจึงได้ลงโทษไพร่พลทุกคน ด้วยการใช้ดาบกรีดลงไปบนฝ่าเท้าทั้งสองข้าง โดยถ้วนหน้าเช่นกัน บัดนี้ พวกเขาเหล่านั้นมาทวงหนี้ต่ออาตมาแล้วเห็นไหม นี่ยังไง ฝ่าเท้าของอาตมาจึงได้เป็นเช่นนี้” หลวงพ่อทองเล่าเสร็จ ก็ชี้มือให้ข้าพเจ้าดูฝ่าเท้าทั้งคู่ของท่าน

 

                        ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อทองกลับ ด้วยจิตใจหดหู่ และอีกไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็ได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อทองได้สิ้นชีวิตเสียแล้ว ด้วยทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างของท่านต่อไปไม่ได้ นับเป็นการชดใช้กรรมในอดีตของท่านแล้วอย่างสมบูรณ์

 

คัดมาจากหนังสือของ พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป

 

 

Visitors: 356,416