ทำไมพระจึงออกธุดงค์?

เนื่องด้วยข้าพเจ้ายังมีความสงสัย  และยังไม่เข้าใจอยู่ตลอดมาว่า ทำไมพระปฏิบัติทั้งหลายจะต้องออกธุดงค์ ก็ปฏิบัติพระกรรมฐานกันอยู่เสียที่วัดไม่ได้หรือ ?  การธุดงค์เพื่อไปบำเพ็ญกรรมฐานอยู่ในป่ากันการกับ บำเพ็ญกรรมฐานอยู่ที่วัดไม่น่าจะมีผลแตกต่างกัน  หากมีความตั้งใจจริงและเพียรพยายามปฏิบัติจริงไม่ท้อถอย

 

                            การที่ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น  เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า  หากตั้งใจจริงและมีความเพียรพยายามที่เด็ดเดี่ยวไม่ท้อถอยแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนาได้เสมอมา  อยากจะยกตัวอย่างสักนิดเพื่อประกอบความเชื่อมั่นของข้าพเจ้า (ขอท่านผู้อ่านอย่าได้คิดว่าข้าพเจ้ายกตัวเองเลยนะครับ เพราะถ้าข้าพเจ้ามิใช่เป็นคนประเภทนี้แล้ว  ปัญหาในข้อนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น)  เช่น เมื่อข้าพเจ้าเรียนหนังสือแล้วก็ตั้งใจว่าจะต้องสอบให้ได้ที่ ๑

 

และเมื่อตั้งใจแล้วในตอนปิดเทอมใหญ่  ขณะที่เด็กทุกคนเอาแต่เที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนานนั้น ข้าพเจ้าจะนั่งดูหนังสือเรียนของปีต่อไปทันที ตัวอย่างเช่นเมื่อสอบไล่ ม.๓เสร็จจะเลื่อนขึ้น ม.๔ ข้าพเจ้าก็รีบเอาหนังสือเรียนของม. ๔ มาดูอะไรที่จะต้องจำ เช่น ทฤษฎีเรขาคณิตบทต่างๆ หรือบทท่องจำต่างๆ ข้าพเจ้าจะต้องรีบท่องไว้ทันที บรรดาแบบฝึกหัดข้าพเจ้าจะทำความเข้าใจและทดลองทำดูทั้งหมด เป็นต้น ดังนั้นข้าพเจ้ามักจะเรียนจบในตอนปิดเทอม โดยครูยังไม่ได้สอนเสมอ และเมื่อมีการสอบทีไรข้าพเจ้าก็จะสอบได้เป็นที่ ๑ ตลอดมา

 

                            และแม้ข้าพเจ้าจะเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมวัดดอนเมือง แต่เมื่อเข้าไปโรงเรียนนายร้อย จปร. ก็หาได้เคยนึกหวาดหวั่นนักเรียนที่มาจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงต่างๆในกรุงเทพฯไม่ และเคยได้เป็นแม้กระทั่งหัวหน้าตอนด้วยคะแนนดี  อักทั้งผลการเรียนตลอด ๗ ปี(เตรียมนายร้อย ๒ ปี และนักเรียนนายร้อยอีก ๕ ปี) ก็ยังอยู่ในประเภท ท๊อปเทนอีกด้วย  ส่วนด้านกีฬานั้นหากสนใจในกีฬาประเภทใด  ข้าพเจ้าจะทุ่มสุดตัว และเล่นจนกว่าจะได้ถ้วยรางวัลชนะเลิศเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาในร่ม เช่น สนุกเกอร์ บิลเลียด ไพ่บริดจ์ หรือกีฬากลางแจ้ง เช่น ฟุตบอล ตะกร้อข้ามตาข่าย  โดยเฉพาะยิมนาสติกนั้นหากท่าใดที่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ก็จะหลบเข้าโรงยิมในยามค่ำคืนไปซ้อมจนกว่าจะได้ หรือกอล์ฟ หากตีไม่ได้ข้าพเจ้าก็จะไปนอนคิดทบทวนถึงความผิดพลาดของวงสวิง หากนึกออกแม้ดึกดื่นเที่ยงคืน ตี๑ ตี๒ ข้าพเจ้าก็จะถือไม้ลงไปฝึกซ้อมที่สนามจนกว่าจะแก้ไขได้ เป็นต้น

 

                              ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงฉงนสนเท่ห์ใจนัก และในวันหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้ถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ทำไมพระจึงไม่กระทำความเพียรเพื่อให้บรรลุมรรคผลกันในวัด มีความจำเป็นอะไรหรือครับที่จะต้องออกธุดงค์ไปทำความเพียรกันในป่า”  เมื่อถามคำถามนี้แล้วข้าพเจ้าก็เล่าเหตุผลที่ข้าพเจ้าเข้าใจ และเชื่อมั่นดังที่กล่าวแล้วแต่ต้นให้หลวงพ่อฟัง และย้ำในที่สุดว่า “อย่างผมนั้นเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมวัดดอนเมืองซึ่งนับว่าเป็นโรงเรียนบ้านนอก ในขณะนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เห็นจะต้องดิ้นรนไปเรียนโรงเรียนดีๆในกรุงเทพฯเลย แต่เมื่อได้มีโอกาสไปเรียนร่วมกับนักเรียนชั้นดีจากโรงเรียนต่างๆ เหล่านักเรียนในโรงเรียนนายร้อย ผมก็สามารถเข้ากับพวกเขาได้อย่างสบายมาก และผมยังได้มีโอกาสเป็นหัวหน้าตอนเสียด้วยซ้ำไป” 

 

                               “เออ!.. แล้วคุณเคยเล่าถึงเรื่องวิธีที่จะเอาดีในการเรียนและการเล่นของคุณให้ลูกๆฟังบ้างไหม?” หลวงพ่อถามเรื่อยๆ

                              “เล่าให้ฟังบ่อยเลยครับหลวงพ่อ เพราะอยากจะให้เขาเรียนเก่ง” ข้าพเจ้าตอบอย่างภาคภูมิใจ

                                “แล้วลูกนำวิธีการของคุณไปใช้บ้างไหม?” หลวงพ่อถาม

 

                                “ตอนแรกเขาไม่เชื่อหรอกครับว่าเด็กอายุสิบกว่าขวบ ระดับชั้นมะยมสมัยนั้น  จะมีใครบ้าเรียนขนาดเอาหนังสือชั้นสูงกว่ามานั่งเรียน ผมต้องไปเอาสมุดพกตั้งแต่ ม.๑-ม.๖ออกมาให้ดู นั่นแหละเขาถึงจะเชื่อว่าผมสอบได้ที่๑ ทั้งสอบซ้อมสอบไล่โดยตลอดมาจริง” ข้าพเจ้าตอบ

                                “อะไรกัน  คุณเก็บสมุดพกตั้งแต่ชั้นมัธยมมาจนถึงบัดนี้ทีเดียวหรือ?” หลวงพ่อถามติง

                                “ครับ!.. ผมเก็บไว้แม้ขณะนี้ก็ยังอยู่ กระดาษกรอบน้ำตาลเชียวครับ”ข้าพเจ้าตอบอย่างภาคภูมิใจ

                                “ในเมื่อลูกคุณเขาเชื่อแล้วว่าวิธีการของคุณจะทำให้เรียนดีได้ แล้วเขายอมเรียนตามวิธีของคุณหรือไม่?” หลวงพ่อถามยิ้มๆ

                                 “ไม่มีใครเอาวิธีผมไปใช้สักคนครับ  เอาแต่เล่นสนุกกันไปตามประสาเด็กหมด” ข้าพเจ้าตอบอย่างท้อแท้

 

                                    “นี่แหละคำตอบละ คนเรานั้นไม่เหมือนกัน คุณลองไปถามดูได้ว่ายังมีใครสักกี่คนที่เขาใช้วิธีการเรียน และการเล่นแบบคุณบ้าง มันผิดปกตินะ มันหนักเกินไปนะสำหรับบุคคลทั่วๆไป การจะทำเช่นนี้ได้ต้องอาศัยกำลังใจสูง มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวไม่ท้อถอย อีกทั้งต้องมีความเพียรเป็นเลิศจึงจะกระทำได้นะ

 

จริงของคุณการกระทำความเพียร เพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพานนั้น กระทำกันในวัดโดยไม่ต้องออกธุดงค์ก็ได้ถ้ามีกำลังใจเด็ดเดี่ยวไม่ท้อถอย และมีความเพียรเป็นเลิศ แต่โดยทั่วๆไปแล้วพระภิกษุที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติใหม่ๆนั้นจะกระทำได้สักกี่องค์ เพราะสถานที่และสิ่งแวดล้อมไม่ให้ อีกทั้งยังมีกิจอย่างอื่นที่สงฆ์จะต้องช่วยกันปฏิบัติเป็นส่วนรวม นอกจากนั้นญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ที่เข้าออกเพ่นพ่านในวัดก็มีมาก เมื่อมีมากตาก็จะเห็น หูก็จะได้ยิน ลิ้นก็จะลิ้มรสอาหารโอชะ จมูกจะได้กลิ่น จิตก็เกิดการรับรู้ เกิดอารมณ์หวั่นไหว ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมได้โดยง่ายจริงไหม ?”  หลวงพ่ออธิบายอย่างอารมณ์ดี และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังนั่งฟังด้วยความสนใจ จึงอธิบายต่อว่า

 

                                “ด้วยเหตุนี้เองพระบรมศาสดาซึ่งหยั่งรู้อารมณ์ของพระภิกษุที่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆเป็นอย่างดี จึงออกอุบายให้พระภิกษุที่เริ่มปฏิบัติออกธุดงค์ เพื่อหาความสงบวิเวกในป่า ทั้งนี้เพื่อให้อารมณ์ของจิตสงบ ระงับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเสีย กล่าวคือ

                                  ตาที่เคยเห็นรถรุ่นใหม่รูปงาม หรืออุบาสกที่อ่อนหวานน่ารัก ก็กลับได้เห็น ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรือ เสือ สิงห์ กระทิง แรด แทน ความอยากได้ใคร่ดีในรูปจะได้หมดไป

 

                                   หูซึ่งเคยได้ยินแต่เสียงไพเราะ หรือเสียงหวานเสนาะโสดของสาวงาม ก็กลับได้ยินเสียงลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรือนกการแทน ความอยากได้ใคร่ดีในเสียงก็จะสงบลง

 

                                   จมูกที่เคยได้กลิ่นหอมจากน้ำหอมลืมชื่อ ก็กลับได้กลิ่นไอดิน ความอยากได้ใคร่ดีในกลิ่นก็จะสงบลงระงับไป

                                    ลิ้นที่เคยลิ้มอาหารรสเลิศที่ญาติโยมเคยเอามาถวาย  กลับต้องลิ้มรสเผือกมันผลไม้ป่าแทน ความอยากอยากได้ใคร่ดีในรสก็จะสงบระงับไป

                                     ส่วนกายที่ได้หนุนหมอนอ่อนนุ่ม ห่มผ้าห่มยามหนาวหรืออาบน้ำฟอกสบู่อย่างสะดวกสบาย ก็จะได้สัมผัสกับขอนไม้ หญ้า ฟางแทนความอยากได้ใคร่ดีในสัมผัสก็จะสงบระงับไป

 

                                      และเมื่อความอยากได้ใคร่ดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หมดไปก็หมายถึงกามฉันทะหมด ความคิดที่จะจองล้างจองผลาญกับผู้ใดในป่าก็ย่อมไม่มี เป็นอันว่าพยาบาทไม่มี ความคิดฟุ้งซ่านก็ไม่มี เพราะไม่มีอะไรให้คิดอยู่เหมือนที่วัด ความลังเล สงสัย คือ วิจิกิจฉา ก็ย่อมไม่มีเพราะถ้ามีก็คงไม่ออกธุดงค์ และถ้าไม่มีความง่วงเหงาหาวนอนด้วยก็หมายความว่า นิวรณ์๕ ซึ่งเป็นเสี้ยนหนามในการบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงปฐมฌานหมดไป การเข้าสู่ปฐมฌานก็ย่อมเป็นไปได้โดยง่าย และเมื่อปฐมฌานเกิดขึ้นได้ ฌาน๒,๓,๔ ก็จะตามขึ้นมาได้ นั่นคือการเจริญสมถกรรมฐานเพื่อเข้าถึงฌาน ๔ ย่อมทำได้อย่างแน่นอน

 

และเมื่อทรงฌานได้ เอากำลังของฌานมาพิจารณาวิปัสสนา ก็ย่อมเป็นไปได้โดยง่ายอีกในที่สุดปัญญาก็จะเกิด และเมื่อปัญญาเกิดก็นำปัญญานั้นแหละไปห้ำหั่น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม จนละสังโยชน์๑๐ ไปทีละข้อๆถ้าละได้ ๓ข้อก็เป็นพระโสดาบันและสกิทาคามี ถ้าละได้ ๕ข้อก็เป็นอนาคามี ถ้าละได้ทั้ง ๑๐ข้อก็เป็นพระอรหันต์ บรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็วกว่าที่จะเริ่มฝึกนั่งเพียรปฏิบัติอยู่แต่ในวัดนะ การธุดงค์จึงเปรียบเสมือนเครื่องช่วย  หรือเครื่องผ่อนแรงที่ช่วยให้การบำเพ็ญเพียรไปสู้มรรคผลนิพพานของพระภิกษุที่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆง่ายขึ้นเท่านั้นเอง” หลวงพ่ออธิบายอย่างยืดยาว แต่ก็แปลกที่สุดที่ข้าพเจ้าสามารถจดจำได้ทั้งหมดแม้จนกระทั่งทุกวันนี้

 

                               “ถ้าการออกธุดงค์ได้ผลดีเช่นนั้น ทำไมพระภิกษุสงฆ์จึงไม่ธุดงค์ไปเรื่อยๆล่ะครับ กลับเข้ามาอยู่ในวัดในเมืองอีกทำไมครับ” ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย

 

                               “อ้าว!.. ถ้าท่านสำเร็จเป็นพระอริยเจ้าแล้วไม่กลับวัดท่านจะมีโอกาสได้แสดงธรรมสั่งสอนอุบาสก อุบาสิกา เพื่อสั่งสมบารมีต่อไปอย่างไรล่ะคุณ จะให้ท่านไปสอน ลิง ค่าง บ่าง ชะนีในป่าตลอดไปหรือ”หลวงพ่อตอบอย่างเห็นขัน และเมื่อข้าพเจ้าหัวเราะจึงพูดต่อไปว่า

                                “พระพุทธเจ้าเองเมื่อท่านได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วท่านก็กลับเข้าเมืองมาแสดงธรรมโปรดผู้คนมิใช่หรือ ?”

                                “จริงครับหลวงพ่อ”ข้าพเจ้าตอบ

 

                                “อีกประการหนึ่งการกลับเข้าวัดในเมือง ก็จะเป็นการทดสอบจิตไปในตัวด้วยว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปเจอกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเย้ายวนในเมืองเข้าแล้วไปบอกจิต จิตมีปัญญาเพียงพอที่จะรู้เท่าทันกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมหรือไม่ ถ้ายังหวั่นไหวก็จะต้องออกธุดงค์เข้าป่าไปฝึกกันใหม่นะ เพราะถือว่าจิตยังไม่แน่จริง เข้าใจหรือยังล่ะ” หลวงพ่ออธิบายเพิ่มเติมแล้วถาม

 

                                “จริงครับหลวงพ่อ”ข้าพเจ้าตอบด้วยความปลื้มปิติ หวังว่าคำถามนี้ของข้าพเจ้า จะทำให้ท่านผุ้อ่านได้เข้าใจถึงประโยชน์ที่พระออกธุดงค์พอสมควรทีเดียวนะครับ

      

คัดมาจากหนังสือของ พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป

Visitors: 356,417