ถือศีลอย่างเดียวสามารถเป็นอรหันต์ได้ไหม
ผู้ถาม : “หลวงพ่อครับ ศีลอย่างเดียวสามารถเป็นอรหันต์ได้ไหมครับ...?”
หลวงพ่อ : “ศีลอย่างเดียวเป็นเทวดาได้”
ผู้ถาม : “บางสำนักเขาว่า เขาอ้างในบาลีว่า สีเลนะ นิพพุติงยันติ เขาแปลบาลีคำนี้แหละครับ”
หลวงพ่อ : “นี่อย่าไปเถียงพระพุทธเจ้าดีกว่า พระพุทธเจ้าบอกศีลไปแค่สวรรค์ สมาธิไปพรหม วิปัสสนาญาณไปนิพพานขืนแปลไปแปลมาถึงได้ลงนรกกันเป็นแถวไงล่ะ”
ผู้ถาม : “เขาแปลผิดใช่ไหมครับ...?”
หลวงพ่อ : “แปลน่ะ ไม่ผิดหรอก แต่เข้าใจผิด พระพุทธเจ้าท่านวางไว้แล้วไม่ต้องไปวางซ้อนหรอก ดีไม่ดีจะไปแย่งที่พระเทวทัตอยู่จะลำบาก ที่อเวจีต้องแย่งกันอยู่ก็เพราะเหตุนี้แหละ”
ผู้ถาม : “แต่ผมก็ว่ามันยากนะครับ ถ้าใช้ศีลอย่างเดียว อย่างน้อยก็ต้องครบองค์ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา”
หลวงพ่อ : “ใช่ ต้องมีพร้อม”
ผู้ถาม : “จะมากน้อยก็แล้วแต่ใช่ไหมครับ…?”
หลวงพ่อ : “ไม่ได้ ต้องพอดี ๆ ต้องตามขนาด ศีลต้องบริสุทธิ์ สมาธิต้องมีกำลังพอ วิปัสสนาญาณ อาจจะอ่อนไปนิด อ่อนไปหน่อย ถ้าฝึกมโนมยิทธิก็ไปช้า มัวไปหน่อยแต่ว่าไปได้ แต่ศีลนี่ไม่ได้เลย ศีลต้องทรงตัว สมาธิต้องกำลังพอ ไม่พอไปไม่ได้”
ผู้ถาม : “ครับ... เข้าใจแล้วครับ ทีนี้ผลจากการฝึกมโนมยิทธิจำทำให้ได้ฌานสมาบัติไหมครับ...?”
หลวงพ่อ : “ก็มันลัดไปหาสมาบัติ ๔ ทันทีเลย แค่สมาบัติ ๔ มันยังไม่พอ ยังได้อารมณ์ทิพย์ที่พิเศษอีก สมาบัติ ๔ เฉย ๆ มันใช้อะไรไม่ได้ ไอ้ตัวนี้ได้ทิพจักขุญาณ สามารถทำให้ได้อภิญญา”
ผู้ถาม : “แล้วจะต้องมีศีลหรือเปล่า...?”
หลวงพ่อ : “ศีลต้องมี”
ผู้ถาม : “แล้วทานเล่าครับ...?”
หลวงพ่อ : “ทานเราก็มีอยู่แล้วเป็นปกติ คุณไม่เคยเอาข้าวให้หมาบ้างเลยรึ...?”
ผู้ถาม : (หัวเราะ) “เคยครับ”
หลวงพ่อ : “คือถ้าเราสามารถให้ทานได้ มันต้องมีศีลได้ คุณต้องดูว่า คนที่จะให้ทาน ให้ด้วยกำลังใจแบบใหน เราจะให้ทานได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ
๑. เมตตา ๒. กรุณา ความสงสาร
ถ้าคนที่เรารักเราให้ เราไม่เคยรักเลยเห็นเขาลำบาก เราสงสารเราให้ ตัวรักกับตัวสงสารมันตัวคุมศีลนะ ศีลจะมีได้ต้องมีเมตตากับกรุณา ๒ ตัว ถ้าขาดเมตตากับกรุณา ๒ ตัว มันจะมีศีลไม่ได้ ใช่ไหม...
ฉะนั้น คนที่มุ่งในการให้ทาน รักษาศีลได้ง่าย เพราะทุนเขามีอยู่แล้วเท่านี้พอแล้ว ถ้าเราพอใจในการให้ทาน รักษาศีลได้ง่าย เพราะทุนเขามีอยู่เท่านี้พอแล้ว ถ้าเราพอใจในการให้ทานการรักษาศีลก็ทรงตัว มันตัวเดียวกันเท่านี้เองไม่ยาก ใช่ไหม...ของง่าย ๆ
แต่ว่าถ้าฌานโลกีย์ก็อย่าลืมนะ ถ้าฌานโลกีย์ศีลเขาขาดง่าย ถ้าวันใหนศีลบกพร่อง วันนั้นก็จางไปนิด มัวไปหน่อย ถ้าฌานโลกีย์เฉย ๆ มันพิสูจน์ได้ยาก ได้ฌานโลกีย์ด้วย ได้ทิพจักษุญาณด้วย ได้มโนมยิทธิด้วย พิสูจน์ง่ายถ้าวันไหนศีลบกพร่องมันมืด ไปไหนก็ไปไม่ไหวก็เกิดกลุ้ม ต้องชำระศีลให้บริสุทธิ์ไว้เสมอ
อย่างพระนี่เห็นชัด แค่อาบัติทุกกฏตัวเดียว มันมั่วตั้วเลย ทำยังไงมันก็ไม่ทรงตัว เอาไม่อยู่ต้องเลิก อาตมาโดนแล้ว พอเลิกแล้วก็มานั่งนึก ตั้งแต่เมื่อเช้ามาถึงเวลานี้ทำอะไรบ้าง พอนึกขึ้นมาได้ต้องไปหาเพื่อนพระแสดงอาบัติ ถ้าเป็นอาบัติต้องออกชื่ออาบัติข้อนั้นตรงเลยนะ จะว่ามวยหมู่รวมหมดไม่ได้ คิดว่าจะไม่ทำต่อไป พอปลงอาบัติแล้ว มันสว่างจ้าไปได้ นี่มันดีแบบนี้ เป็นการคุมอารมณ์ไปในตัวเสร็จ