เทพโอดิน Odin
มหาเทพโอดิน
การเรียนไพ่ ไม่รู้เรื่องราวของโอดิน หรือตำนานเลยจะไปอ่านไพ่ได้ไม่ดีนักนะคะ
โอดินเป็นเทพที่อยู่ในไพ่ใบเดียวที่เป็นเทพทางนอร์ท ไม่ใช้เทพเจ้าทางกรีกค่ะ แต่เดี่ยวนี้ทุกคนก็คงรู้จักโอดินเป็นอย่างดี ผ่านเกมส์ออนไลน์ และภาพยนต์ของทงฮอลลีวู้ดแล้วนะคะ แต่ก็ขอเล่ากันนิดนึงค่ะ
โดยพี่ได้คัดลอกบทความนี้มาจากหนังสือ "ตำนานเทพเจ้าชายเหนือ "
ซึ่งเรียบเรียงโดย คุณคอสมอส
โอดิน ดำรงฐานะจอมเทพ (เทพแห่งเทพ) สูงที่สุดในบรรดาเทพชาวเหนือเลยค่ะ แต่ชีวิตของพระองค์ไม่ได้สบายเหมือนตำแหน่งเลย กลับมีแต่ความรันทดตลอด ความแข็งแกร่งของชายชาตินักรบที่ถึงแม้จะรู้จุดจบของตัวเองและพวกพ้อง ก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาเลยล่ะ
ความแข็งแกร่งของจิตใจเป็นจุดเด่นของโอดิน ทำให้ผู้คนทางยุโรปภาคกลางซึ่งคนเชื้อชาติเยอรมันตัวลงไปยอมรับนับถือเป็นที่ยิ่ง เรียกชื่อโอดินเพี้ยนไปบ้าง เช่นว่า โวทัน-Wotan หรือโวเดน-Wodan เทพพิทักษ์นักรบเป็นที่มาของชื่อวันพุธ –Wednesday
โอดินเป็นลูกของบอร์ เทพเริ่มแรกของโลก และบรรดาเทพอื่นๆ ที่อยู่บนแอสการ์ด ต่างเป็นลูกหลานของเทพองค์นั้นซะเกือบทั้งสิ้น รูปร่างของโอดินในความนึกคิดของชาวเหนือส่วนใหญ่จึงเป็นชายชราสวมหมวกปีกซ่อนใบหน้าไว้ในเงามืด นั่งอยู่บนบัลลังก์ ฮลิดเสกียบ – Hlidskialf ซึ่งสามารถสอดส่องความเป็นไปต่างๆ ในโลกทั้งเก้าได้โดยมี ฟริกก้า-Frigga เมียคนที่สองแต่รักที่สุดนั่งเคียงข้างบนบัลลังก์องค์นี้ได้เพียงคนเดียว
อันที่จริงโอดินมีมเหสีหลายคน มีทั้งเทพด้วยกันและยักษีประเภทต่างๆ (ตามความนิยมในสมัยนั้น)
ทวาพวกที่ได้รับการยกย่องมีอยู่ไม่เท่าไหร่คนแรกคือ จอร์ด - Jord หรือ เออดา-Erda ธิดาของภาวะหมุนวนสับสนรอบๆ กินนันกาแก๊บกับยักษีตนหนึ่งไม่ปรากฏนาม(เป็นลักษณะการสืบพันธุ์ที่ประหลาด)
โอดินมีลูกกับเมียผู้มีกำเนิดค่อนข้างประหลาดคนนี้ที่นับได้ก็คือ ฟริกก้า คนที่กลายเป็นเมียคนที่สอง และ ธอร์ -Thor เทพแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด กับ ฟริกก้า
โอดิน มีลูกอีกสี่คือแฝด บาลเดอร์ กับโฮเดอร์ ไทร์และเฮอร์มอด เมียสามคนชื่อว่ารินด้า- Rinda คนนี้เป็นตัวแทนแห้งแล้ง ของแผ่นดินที่หนาวเหน็บในช่วงหน้าหนาวตอนไหนที่เจ้าหลอนไปอยู่กบสามี แผ่นดินที่เคยหนาวเหน็บจะอุ่นขึ้น
เป็นช่วงที่ตอนเหนือมีฤดูร้อนช่วงสั้นๆ ความที่ รินดาเจ้าแม่แห่งความแห้งแล้งจากแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของมนุษย์แค่ช่วงสั้นๆ ชาวเหนือเลยทึกทักให้หล่อนเป็นภรรยาที่มีนิสัยค่อนข้างรังเกียจสามีเอามากๆ เจ้าหลอนจึงให้เวลาโอดินอยู่ด้วยเพียงปีละช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่กับรินดาคนนี้ ที่โอดินมีลูกด้วยชื่อว่า วาลี -Vali เป็นหนึ่งในบรรดาเทพไม่กี่องค์ที่เหลือลอดจากแร็กนาร็อกซึ่งเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งเกี่ยวกับความตายของบาลเดอร์ – Balder เทพแห่งสัจจะและแสงสว่าง
นอกจากบรรดาภาพที่ปรากฏกับมเหสีเหล่านี้แล้ว โอดินจอมเทพจะมักแต่งกายด้วยชุดนักรบเสมอๆ เทพจะถือหอกกุงเนอร์- Gungnir อาวุธประจำกาย ใส่แหวนวิเศษเดราป์เนียร์ - Draupnir (บางแห่งว่ามันเป็นกำไลแขน-แต่ไม่ว่าจะแหวนหรือกำไลแขน มันก็เป็นวงกลมซึ่งเป็นรูปทรงที่พลังของมันจะหมุนอยู่ตลอดไป) แหวนหรือกำไลแขนเดราป์เนียร์ที่ว่า มีลักษณะพิเศษเกิดขึ้นใหม่ทุก 7 วัน…
แหวนอันนี้แบ่งตัวเองออกมาใหม่ แล้วตัวเก่าก็อันตรธาน เพื่อให้แหวนเดราป์เนียร์ใหม่อยู่เสมอ แหวนวงนี้ยังมีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่ครอบครองร่ำรวยอยู่เสมอ)โนมีอีกชื่อ ฮิวจิน- Hugin-ความคิด และนิวนิม-Munin –ความจำ เกาะบนไหล่ซ้ายขวาคอยกระซิบบอกข่าวใหม่ๆ ที่นายสั่งให้มันบินออกไปสังเกตเป็นพิเศษนอกจากนกสองตัวนี้แล้ว เทพยังมีสัตว์แสนรักเป็นหมาป่าอีกสองตัวชื่อ เกอรื่-Geri และ เฟรกี-Freki ซึ่งมีอุปนิสัยคลายกับเขามาก ในว่านิสัยของมันคือสัญชาตญาณการล่าที่มีอยู่ในตัวมหาเทพนั้นเอง หมาป่าสองตัวมักจะคอยอยู่ข้างๆ นาย รับอาหารจำพวกเนื้อที่เขาเอามาวางไว้ตรงหน้าโอดิน ในเมื่อจอนเทพไม่กินอาหารหรือสิ่งใด สิ่งที่ทำให้เขายังชีพในสวรรค์ได้ เป็นอย่างดีคือเหล้าน้ำผึ้ง อาหารซึ่งมีไม่อั้นในวัลฮัลลา-Valhalla โถงวิญญาณที่นักรบได้รับเลือกหมาป่าทั้งสองก็เปรมไปละครับ
นอกจากโอดินจะได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพแห่งนักรบแล้ว ยังเป็นเทพแห่งปัญญาและภูมิความรู้ด้วย ซึ่งโอดินได้มาตั้งแต่ครั้งแรกสร้างโลก
ก็หลังจากที่โอดินกับน้องๆ ช่วยกันสร้างโลกจากร่างของยีเมียร์เสร็จแล้วนั้นแหละเขาก็รี่ไปหาไมเมียร์ อารักษ์แห่งน้ำพุปัญญา ด้วยรู้ว่าน้ำที่นี่หากใครได้ดื่มจะได้ความรู้สรรพวิชา รมทั้งเห็นกาลในอนาคตอย่างชัดเจน ติดอยู่ที่ว่าไมเมียร์ไม่ยอมให้คนที่ไม่มีเหตุผลพอจะได้ดื่มได้ลิ้มรสน้ำอยู่ในแหล่งนี้
โอดินถึงขนาดต้องอ้อนวอน อ้างว่าด้วยตำแหน่งราชาแห่งเทพ เขาจำเป็นต้องมีความรอบรู้ไม่ว่าจะในสาสตร์ไหนเพื่อให้การปกครองของเขาราบรื่นที่สุดไมเมียร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงโดยมีข้อแลกเปลี่ยน เขาว่า หากโอดินต้องการความรู้มากจริงๆ จะต้องควักตาข้างหนึ่งออกมาแลกกับการดื่มน้ำครั้งเดียว แต่เพราะความกระหายในวิชาต่างๆ ทำให้โอดินไม่หยุดคิดอะไรต่อไป เขาควักตาข้างหนึ่งแลกกับน้ำซึ่งไมเมียร์ตักใส่จอกให้ ไมเมียร์นำดวงตาข้างนั้นของโอดินทิ้งลงในบ่อแลกกับความรู้ที่แฝงไปกับน้ำ
และ “ดวงตาของโอดิน” ที่ว่า เรากันยังเห็นอยู่ทุกวันนี้ ก็กลมๆ สีเหลืองนวลในบ่อน้ำทุกบ่อ น้ำทุกแหล่งในคืนวันเพ็ญ (คือเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำ ส่วนตาข้างที่เหลืออยู่ก็เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์)
โอดินค่อยๆ ละเลียดน้ำวิเศษผ่านลำคอ ความรู้สรรพวิชาต่างๆที่เขากระหายผ่านค่อยๆไหลเข้าสู่ร่างไม่ว่าจะเป็นความรู้กวีนิพนธ์ ไสยเวทย์หรืออื่นใด จากนั้นเป็นต้นมาเทพองค์นี้จึงกลายเป็นเทพอุปถัมภ์ หมอดู กวีนิพนธ์ และพ่อมดในทันที ทว่าสิ่งที่รวมมากับน้ำคือการเห็นอนาคตข้างหน้าที่เขาต้องการนักหนากับกลายเป็นความทุกข์ที่สาหัสเกินกว่าจะรับได้
เพราะนอกจากการเห็นการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล เห็นความตายของลูกรักยังได้เห็นช่วงเวลาที่จบสิ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือช่วงแร็กนาร็อค-Raknarok ซึ่งภาพทุกอย่างชัดเจนกระหน่ำอยู่ในหัวโอดินแค่เสี้ยววินาที ชะตาที่จะเกิดขึ้นต่อไปทำให้ใบหน้าที่เคยสดใสและร่าเริงของโอดินหมองลง บางครั้งการรู้อนาคตล่วงหน้าก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป เขากลายเป็นคนเงียบขรึมนับแต่นั้น ไม่กินอาหารดื่มแต่เฉพาะเหล้าน้ำผึ้ง เพื่อให้ความเมามายสลายความทุกข์ลงไป
ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้โอดินต้องสะสมกำลังไว้ข้างหน้าอย่างน้อยก็ทำให้ไม่ตายอย่างเสียเกียรติเกินไป เทพจัดกองทัพวัลคิรี-Valkyries ขึ้นนางคือนางฟ้าดำแห่งความตาย ทั้งๆที่รูปลักษณะงดงาม ผิวขาว ผมทอง เป็นสาวพรหมจรรย์ซึ่งมีฐานะกึ่งเทพ วัลคิรีที่แท้จริงคือแรงเร้าแห่งการฆ่า พวกนางมีสองอย่างคือสรรหาเลือกเฟ้นวิญญาณนักรบผู้กล้ากับคอยดูแลเลี้ยงดูเขาในวัลฮัลลา-Valhalla
เมื่อไรก็ตามที่ เกิดการรบขึ้นบนโลกมนุษย์ โอดินส่งวัลคิรี ไปรอดูนักรบคนใดที่สู้ตายชนิดที่ยังมีความกระหายสงครามค้างอยู่ในดวงตาและมือเต็มไปด้วยเลือดขณะที่วิญญาณออกจากร่าง วัลคิรีจะเลือกวิญญาณพวกนั้นกับพวกหล่อน พาข้ามสะพานรุ้งน้ำแข็งขึ้นไปบนวัลฮัลลา วิญญาณนักรบพวกนี้เรียกกันว่าพวก เอนเฮเรีย-Einheriar ครับ
(นางฟ้าดำวัลคิรี บางทีก็ปรากฏร่างเป็นสาวพรหมจรรย์สวมปีกหางหงส์ ชอบลงเล่นน้ำอยู่ในป่าเปลี่ยว หากผู้ชายคนไหนขโมยปีกหางของนางได้ วัลคิรีผู้นั้นก็จะกลายเป็นทาสของเขาทันที)
โอดินมีพระราชวังใหญ่ๆ อยู่สามแห่งในแอสการ์ด คือเเกลดไฮล์ม-Gladsheim โถงที่ประชุมของ เทพวาลาสเคียฟ-Valaskialf ซึ่งฮลิดสเคียฟ-Hlidskilf ตั้งอยู่และ วัลฮัลลา- Valhalla พระราชวังซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกนักรบที่ได้รับเลือกขึ้นมา อันนี้ตั้งอยู่ในเกลเซอร์-Glasir กลางป่าวิเศษซึ่งใบไม้ในป่านี้เป็นที่ทองอมแดง
วัลฮัลลา คือพระราชวังที่มีขนาดมหัศจรรย์ เล่ากันว่ามีประตูถึง 540 แห่งแต่ละแห่งกว้างพอที่จะให้นักรบตัวโตๆ แปดคนเดินรียงแถวหน้ากระดานเข้าไปได้อย่างสบายๆ ที่นี้มีโต๊ะยาวเป็นจำนวนมากให้พวกเอนเฮเรียร์เข้าประจำที่ มีคบไฟจุดไว้ตามผนังหนังแสงคบเพลิงกระทบสะท้อนใบหอก เป็นประกายแวววับอยู่ในแสงไฟ อาหารเตรียมพร้อมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมูย่างเบียร์หรือเหล้าน้ำผึ้ง
ในเวลานี้ วัลคิรีจะมีหน้าที่ เป็นผู้นำอาหารมาเสิร์ฟให้นักรบคอยดูแลไม่ให้จานอาหารของเขาพร่อง หรือเขาสัตว์ที่ใช้แทนถ้วยดื่มจะมีเหล้าไม่เต็มนมแพะที่นมมาให้นักรบดื่มจากเต้าของแพะเฮดรันเนื้อที่ใช้เสิร์ฟบนวัลฮัลลาเป็นเนื้อที่มาจากหมูป่าของเทพตัวหนึ่งชื่อ แซริมเนอร์- Saehrimnir มันจะถูกพ่อครัว แอนด์ริมเนอร์-Andhrimnir เชือดทุกวัน พอการเลี้ยงอาหารเสร็จสิ้นลง หมูแซริมเนอร์ก็รวมตัวกันขึ้นใหม่ กลายเป็นหมูป่าสำหรับพ่อครัวเชือดวนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้วัลฮัลลาไม่เคยขาดเนื้อในการเลี้ยงเลย
หลังจากที่กินอาหารเสร็จ นักรบเอนเฮเรียร์จะพากันจับอาวุธกันไปที่ลานรอบวัง ฝึกปรือการต่อสู้ หรือการต่อสู้ให้กันจริงให้ตาย (ตายแบบหลอกๆ) หรือไม่ก็เล่นเกมหมากรุก เกมปาลูกดอก รอจนกระทั่งเสียงเป่าเขาเรียกกินอาหารเย็น จึงเข้าร่วมโต๊ะอีกหน โดยมีโอดินนั่งเป็นประธานที่สุดห้องโถง พระองค์จะนั่งดูนักรบเหล่านั้นสนทนาพูดคุยกันอย่างมีความสุข หวังเพียงแต่สักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลานักรบพวกนี้จะสามัคคีร่วมมืออย่างดีในศึกครั้งสุดท้ายอย่างดีที่สุด
นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้เห็นภาพอนาคตโอดินก็ตกอยู่ในความขมขื่น พระองค์มักสิงอยู่ในวัลฮัลลาครั้งละนานๆ ดื่มเหล้าพลางมองพวกนักรบซ้อมๆ กันไปพลาง วัลฮัลลากลายเป็นสวรรค์แสนสุขของนักรบ
คนมีฝีมือในสมัยนั้นฝันถึงวัลฮัลลา ทำให้ผู้ชายจากมิดการ์ด(ก็คือมนุษย์) มีศรัทธาต่อการได้ขึ้นสวรรค์แบบนี้มากสงครามจึงกลายเป็นความกล้าหาญ เป็นสิ่งที่ควรทำและทำอย่างดุเดือดโหดเหี้ยมในวัยหนุ่มเพราะการตายในวัยชราที่ปราศจากคมหอกคมดาบ เป็นการตายที่อายที่สุด(การขึ้นสวรรค์วัลฮัลลานี่ ภายหลังเชื่อว่ามีทางลัดด้วย คือการผูกคอตายครับ อันนี้เขาคงเอาไปปนกับความเชื่อตอนที่โอดินแขวนคอตัวเองบนต้นอิกดราซิล)
เล่ากันว่าพวกที่โอดินชอบที่สุด เห็นจะเป็นวิญญาณนักรบที่มีสมญานามว่าเบอร์เซอร์ค-Berserk มาจากพวกที่สวมเสื้อหนังหมี-Bear Serkin แทนเกาะ (เหตุที่เขาใส่เพียงหนังหมีเพราะเชื่อว่าโอดินเทพเจ้าของเขาจะเป็นโล่ป้องกันอยู่แล้ว)นักรบพวกนี้จะเป็นพวกที่กล้าหาญที่สุด ร้ายกาจที่สุด จะฆ่าศัตรูไม่ว่าหน้าไหนไม่เว้นแม้กระทั่งพวกนั้นเป็นญาติพี่น้องของตนเอง
เครดิตเรื่อง : คัดมาจาก ตำนานเทพเจ้าชาวเหนือ (Norse Mythology) เรียบเรียงโดยคอสมอส สำนักพิมพ์เครือเถา
เครดิตภาพ : google search