อะพอลโล่ (Apollo) ไพ่The Sun
เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ดนตรี และกวีนิพนธ์
เทพแห่งแสงสว่างอะพอลโล (Apollo) เป้นเทพเจ้าคู่แฝดกับอาร์ทีมิส (Arthamis) หรือ ไดอานา (Diana) เทพีแห่งแสงจันทราและการล่าสัตว์ ทั้งสองเป็นพระโอรสธิดาของมหาเทพซีอุสกับเทพธิดาลีโท (Leto)
เทพบุตรอะพอลโลและเทพธิดาอาร์ทีมิสฝาแฝดผู้พี่เจริญวัยอย่างรวดเร็ว มหาเทพซีอุสประทานรถศึกเทียมด้วยหงส์สีขาวให้แก่พระโอรสอะพอลโล เช่นเดียวกับที่ทรงประทานจันทรยานเทียมม้าสีขาวปลอดดังสีน้ำนมให้แก่เทพธิดาอาร์ทีมิส
ในภายหลังชาวกรีกและโรมันถือว่าเทพบุตรอะพอลโลเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างหรือดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับที่ถือว่าเทพธิดาอาร์ทีมิสเป็นเทพีแห่งแสงจันทรา
แต่ในชั้นเดิมก่อนหน้านี้ องค์สุริยเทพของกรีกมีอยู่แล้ว คือ เทพฮีลิโอส (Hellios) ซึ่งเป็นโอรสของ เทพไฮเพอเรียน (Hyperion) ในคณะเทพไททัน
ภายหลังคณะเทพไททันสิ้นอำนาจจากการที่เทพโครนัสถูกชิงบัลลังก์ มหาเทพซีอุสครองวิมานโอลิมปัส ชาวกรีกจึงถือว่าเทพบุตรอะพอลโลมาสืบทอดตำแหน่งองค์สุริยเทพแทน แต่โดยทั่วไปถือเป็นเทพแห่งแสงสว่าง และถือเทพฮีลิโอสเป็นพระอาทิตย์เช่นเดิม
หน้าที่สำคัญของเทพอะพอลโลซึ่งปฏิบัติเป็นประจำทุกวันได้แก่การขับรถพระอาทิตย์จากฟากมหาสมุทรยามรุ่งอรุณโคจรไปตามสุริยวิถี ผ่านฟากฟ้าไปโดยไม่จอดพักจนกว่าจะถึงเรือทองที่จอดคอยอยู่ ณ ขอบฟ้าทิศตะวันตกเพื่อใช้เดินทางกลับสู่วังที่ประทับที่อยู่ทางทิศตะวันออก
เมื่อถึงเช้าวันใหม่ก็ทำหน้าที่หมุนเวียนเช่นนี้ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์ โดย เทพธิดาอีออส (Eos) หรือ ออโรรา (Aurora) เทพีผู้ครองแสงเงินแสงทอง หรือ อุษาเทวี มีหน้าที่เปิดทวารมุกดายามอรุณรุ่งให้รถอะพอลโลออกโคจร และพร้อมกันนั้นก็ไขแสงเงินแสงทองเป็นสัญลักษณ์ เปิดทางโคจรของเทพอะพอลโลด้วย นอกจากนั้นในเวลาเช้ายังจุ่มนิ้วพระหัตถ์ลงในถ้วยน้ำค้าง เพื่อโปรยปรายลงบนดอกไม้และต้นไม้
ตำนานดอกทานตะวัน
ผู้ที่คอยเฝ้าดูการโคจรขอเทพบุตรอะพอลโลด้วยความหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือ นางอัปสรประจำน่านน้ำ นามว่า ไคลที (Clytie) พระธิดาของเทพโอเชียนัสกับเทพธิดาทีทิส นางจะผินหน้าตามดวงตะวันเริ่มโคจรจากตะวันออกถึงทิศตะวันตก ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเทพบุตรหนุ่มจะมีจิตปฏิพัทธ์เสน่าหาในตัวนางบ้าง เหล่าเทพเจ้าทั้งหลายบังเกิดความสงสารจึงบันดาลให้นางกลายเป็นต้นทานตะวันชูดอกผินตามดวงอาทิตย์มาตราบถึงปัจจุบัน
เทพอะพอลโลประหารงูยักษ์ไพทอน
ตามตำนานที่เล่ามาข้างต้น พระนาเฮรามหเสีเอกของมหาเทพซีอุสได้สั่งให้งูยักษ์ไพทอนติดตามสังหารเทพธิดาลีโท ครั้งเมื่อนางให้กำเนิดพระโอรสธิดาแฝดพระโอรสอะพอลโลซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเมื่อประสูติจากครรภ์พระมารดาก็สามารถสังหารงูยักษ์ไพทอนได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้บางทีจึงเรียกนามของพระองค์ว่า ไพทูส (Pytheus) แปลว่า “ผู้สังหารไพทอน” และมีนามอื่นๆ เช่น ดีเลียน (Delian) เพราะเกิดที่เกาะดีลอส ฟีบัส (Phoebus) แปลว่า “โอภาส” หรือ “ส่องแสง” บางทีเรียกควบกันว่า “ฟีบัสอะพอลโล” ก็มี
นอกจากนั้นเทพบุตรอะพอลโลยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้ากรีกที่รูปงาม พระองค์มีชายามากมาย ต่างกับเทพธิดาอาร์ทีมิสที่เป็นเทพธิดาพรหมจารี เทพอะพอลโลทรงเป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ มีพิณเป็นเครื่องดนตรีประจำตัว และยังมีเทพผู้ขมังธนู เป็นเทพผู้ถ่ายทอดวิชาศิลปะให้แก่มนุษย์ เป็นเทพแห่งแสงสว่างอีกทั้งเป็นเทพแห่งสัจธรรมผู้ไม่เคยเอ่ยวาจาเท็จ
วิหารทำนายเดลฟี (Delphi)
เนื่องจากเป็นเทพเจ้าที่ได้รับความเคารพนับถือมากจึงมีผู้สร้างวิหารอะพอลโลถวายขึ้นมากมายในประเทศกรีซ วิหารที่สำคัญที่สุดมีชื่อว่า วิหารแห่งเมืองเดลฟี (Delphi) อยู่ที่เขา พาร์แนสซัส (Parnassus) มีรูปอนุสาวรีย์ขนาดยักษ์ที่ชื่อว่า โคลลอสซัส (Colossus) ตั้งอยู่บนเกาะโรดส์ (Rhodes) ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งที่พวกข้าศึกซึ่งยกมาล้อมเมืองอยู่เป็นเวลานานแต่ไม่อาจตีหักเข้าเมืองได้ ชาวเกาะโรดส์เชื่อว่าเพราะได้รับการคุ้มครองจากสุรียเทพ จึงพร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ขนาดความสูง 105 ฟุต (ไล่เลี่ยกับขนาดของเทพีสันติภาพในปัจจุบัน) ฉาบผิวด้วยทองบรอนซ์ ภายหลังเกิดแผ่นดินไหวรูปองค์เทพยุบลงไปแค่เข่า และต่อมาได้ถูกข้าศึกที่ยกมาโจมตีเมืองเลาะเอาทองบรอนซ์ไปขาย
เรื่องราวของเทพเจ้าแห่งเสียงดนตรีที่น่าสนใจยังมีอีกสององค์คือ ออร์ฟุส และแพน ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า
เทวลัยเดลฟีเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (มีอยู่ก่อนที่เทพอะพอลโลจะถือกำเนิด) ตั้งอยู่บนที่ลาดชันของเขาพาร์แนสซัส ซึ่งมีควันกำมะถันลอยพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกของเชิงเขา มีนักบวชหญิงทำหน้าที่เป็นร่างทรงพยากรณ์โดยถ่ายทอดคำทำนายจากเสียงกระซิบของแม่พระธรณีกีอา (Gaea) ต่อพวกพระที่ยืนล้อมรอบตัวนักบวชหญิง เป็นการบอกโชคชะตาแก่บรรดาผุ้ที่มาแสวงบุญในวิหารแห่งนี้ และครั้งหนึ่ง เฮอร์คิวลิส (Hercules) วีรบุรุษคนสำคัญของกรีกก็เคยมารับคำทำนายจากที่นี่เช่นกัน
มังกรดำไพทอน (Pyton)
มหาเทพซีอุสมีเทวบัญชาให้พระโอรสอะพอลดลไปชิงเทวลัยแห่งเดลฟีมาครอง ณ ที่ใกล้เทวาลัยแห่งนี้มีบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมังกรดำไพทอน (Pyton) ได้เข้ามาครอบครอง ทำให้บรรดานางไม้ผู้ดูแลบ่อน้ำพุต้องหนีไปที่อื่น มันเป็นมังกรชราที่โมโหร้าย โดยเฉพาะเมื่อได้รับคำทำนายจากเทวาลัยเดลฟีว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าพระโอรสของเทพธิดาลีโท (Leto) ผู้ซึ่งไพทอนเคยพยายามจับกินจะมาสังงหารมัน (ตำนานข้างต้นเล่าว่าอะพอลโลได้สังหารไปแล้วเมื่อสมัยยังเป็นทารก อาจจะเป็นอีกตัวหนึ่ง)
เมื่อเผชิญหน้ากับเทอะพอลโล ไพทอนรู้ว่าชะตาของมันถึงฆาตแล้ว แต่ก็เรียกราคาชีวิตอย่างคุ้มค่า ด้วยการพ่นไฟและพิษร้ายออกมาต้อสู้ เทพอะพอลโลต้องใช้ธนูเงินถึง 1000ดอก จึงสามารถเด็ดชีพของมันได้
มื่อมังกรไพทอนถูกสังหาร เหล่านางไม้ก็กลับมาอยู่ที่บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม เหล่านกน้อยส่งเสียงร้องเพลงกระโดดไปมาตามกิ่งอย่างมีความสุข
พระนางไนโอบี (Niobe)
ผู้สบประมาทเทพบุตรอะพอลโลและเทพธิดาอาร์ทีมิส
ราชินีแห่งเมืองทีปส์ (Thebes) นามว่าไนโอบี เป็นผู้มีสิริโฉมงดงามและมั่งคั่ง มหาเทพซีอุสทรงเป็นพระอัยกา (ปู่) ของพระนาง ครั้งหนึ่งมหาเทพได้ประทานพรให้ราชินีไนโอบีมีพระโอรสธิดาถึงสิบสี่พระองค์ ทำให้พระนางรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก
แต่เมื่อประชาชนทั้งหลายพากันบูชาพระนางลีโทพระมารดาของสองพระโอรสธิดาแฝด คือ เทพธิดาอาร์ทีมิสและเทพบุตรอะพอลโล พระนางไนโอบีกลับรู้สึกอิจฉา เพราะพระนางลีโทมีพระโอรสธิดารวมแล้วเพียง 2 องค์เท่านั้น เทียบไม่ได้กับพระนางไนโอบีซึ่งในเวลานี้มีพระโอรสธิดาแล้วอย่างละ 7 องค์
“ทำไมถึงไปบูชาพระนางลีโท ประชาชนควรจะบูชาข้าซึ่งมีพระโอรสธิดาถึงสิบสี่องค์”
คำกล่าวเชิงดูหมิ่นของพระนางไนโอบีทำให้สองโอรสธิดาฝาแฝดของพระนางลีโทกริ้ว เทพอะพอลโลแผลงศรอันร้อนแรงไปถูกโอรสทั้ง 7 ของพระนางไนโอบีสิ้นพระชนม์ ส่วนเทพธิดาอาร์ทีมิสก็ได้แผลงศรอันเย็นเยือกไปสังหารพระธิดาทั้ง 7 ของพระนางไนโอบีเช่นกัน
พระนางไนโอบีกันแสงโศกเศร้าด้วยความเสียพระทัยในความหยิ่งผยองของตนเอง ทำให้พระโอรสธิดาต้องสิ้นพระชนม์โดยไม่มีความผิด บรรดาเทพเจ้ารู้สึกสงสารจึงสาปให้นางเป็นหินไร้ความรู้สึก แต่ภายในหินนั้นยังมีน้ำพุไหลออกมาเหมือนน้ำตาหยดลงบนหินนั้น โดยปรากฏอยู่บนเขาไซปิลัส (Sipylus) ตราบเท่าทุกวันนี้ สำหรับตำนานนี้มีเล่าแตกต่างกันออกไปว่า
เหตุที่โดรบวโทษสถานหนัก เพราะพระนางไนโอบีได้สั่งไม่ให้ชาวเมืองกระทำการบูชาเทพบุตรอะพอลโลและเทพธิดาอาร์ทีมิส อีกทั้งให้ทำลายรูปเคารพของเทพเจ้าทั้งสอง นอกจากนั้นยังกล่าวสบประมาทพระนางลีโทเป็นอันมาก ส่วนเจ้ากรุงทีบส์นั้นได้ทำลายพระชนม์ชีพตามพระมเสีของพระองค์ไปด้วยเช่นกัน
โอเรียน (Orion) ยักษ์นายพรานผู้ยิ่งใหญ่
(ตำนานดาวแมงป่องประจำราศีพิจิก และกลุ่มดาวซิริอัส (ดาวสุนัข) -กลุ่มดาวนายพราน)
ยักษ์โฮเรียนเป็นโอรสองค์หนึ่งของเจ้าสมุทรโพไซดอน เช่นเดียวกับโอทัสและอีฟิอัลทิสยักษ์นายพรานสองพี่น้อง แต่โอเรียนเป็นยักษ์ที่สุภาพ ถ่อมตนและเป็นนายพรานผู้ยิ่งใหญ่ แม้กระนั้นก็ยังให้ความเคารพยกย่องเทพธิดาอาร์ทีมิสหรือไดอานาเทพีแห่งแสงจันทราและการล่าสัตว์ แม้ว่าจะไม่มีสัตว์ตัวใดที่สามารถรอดพ้นจาก “กระบองดาบและดาบเพชร” อาวุธประจำตัวของนักษ์นายพรานโอเรียนไปได้ก็ตาม
โอเรียนสามารถเดินบนน้ำได้ราวกับอยู่บนพื้นดิน หรือบางตำนานว่าสามารถเดินลุยลงไปในทะเลลึกได้ แสดงว่ามีร่างกายใหญ่โตมาก วันหนึ่งเมื่อยักษ์นายพรานโอเรียนเดินลุยทะเลมาจนถึงเกาะไคออส (Chios) พระราชาของเกาะแห่งนี้ซึ่งกำลังรู้สึกรำคาญกับเสียงเห่ารำคาญของบรรดาสิงโต สุนัขป่าและหมูป่าจนไม่ค่อยได้บรรทม พระองค์จึงสัญญาว่า หากโอเรียนสามารถสังหารสัตว์เหล่านี้ได้ยกพระธิดาให้
พระธิดาของพระราชาแห่งเกาะไคออสทรงมีพระสิริโฉมงดงาม ยักษ์นายพรานโอเรียนจึงรับบัญชาในทันที ภายในเวลาไม่นานนักทั่วเกาะก็ไม่มีสัตว์ป่าหลงเหลือเลย แต่พระราชาไม่ปรารถนาจะยกพระธิดาให้ยักษ์นายพรานโอเรียน จึงอ้างว่าพระองค์ยังคงได้ยินเสียงสุนัขป่าเห่าหอนอยู่ทุกคืน
โอเรียนโกรธที่พระราชาไม่รักษาสัญญา ขู่จะพาพระธิดาหนีไป พระราชาแสร้งปลอบโยนด้วยคำหวานและมอมเหล้าจนยักษ์นายพรานเมาฟุบ ก่อนที่จะควักดวงตาของโอเรียนออกทั้งสองข้าง แล้วนำไปทิ้งไว้ริมทะเล โอเรียนช่วยเหลือตนเองโดยฟังเสียงค้อนพวกยักษ์ตาเดียวไซคลอปส์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยทำงานอยู่ในโรงงานเทพวิศวกรรมเฮเฟสทัส พยายามเดินตามเสียงค้อนไปจนถึงโรงงาน ณ เกาะเลมนอส (Lemnos) เทพเฮเฟสทัสสงสารโอเรียน จึงให้อสุรกายตาเดียวไซคลอปส์ตนหนึ่งขี่คอโอเรียนบอกทางให้เดินทางไปทิศตะวันออก เพื่อให้รังสีของดวงอาทิตย์ช่วยรักษาดวงตาจนสามารถมองเห็นได้ดังเดิม
โอเรียนกลับมาที่เกาะไคออสหมายจะแก้แค้น แต่พระราชาได้พาพระธิดาหนีไปด้วยความหวาดกลัว อยู่ต่อมาไม่นานโอเรียนก็ลืมเรื่องราวทั้งหมด คงออกท่องเที่ยวล่าสัตว์ต่อไปจนพบเทพธิดาอาร์ทีมิสที่เกาะครีต เนื่องจากยักษ์นายพรานโอเรียนมีฝีมือทางการล่าสัตว์และไม่โอ้อวดตนเอง ในที่สุดก็กลายเป็นพระสหายที่เทพธิดาอาร์ทีมิสโปรดปราน ทั้งสองร่วมกันออกล่าสัตว์ท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน
เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเทพอะพอลโล พระองค์ไม่พอพระทัยที่พระภคินีอาร์ทีมิสสนิทสนมกับยักษ์นายพรานหนุ่มจึงสั่งให้แมงป่องยักษ์ไปสังหารโอเรียน แม้จะมีกระบองกับดาบเพชรที่ทรงอานุภาพแต่คราวนี้โอเรียนไม่อาจใช้มันสยบแมงป่องของเทพเจ้าอย่างอะพอลโลได้
เทพธิดาอาร์ทีมิสไม่พอพระทัยพระอนุชาที่สังหารพระสหายของพระองค์ เทพอะพอลโลจึงบันดาลให้โอเรียนกลายเป็นกลุ่มดาวนายพรานบนฟากฟ้า อันเป็นกลุ่มดาวที่ส่งแสงสุกใสเหนือทะเลในฤดูหนาวที่มีพายุจัด เป็นกลุ่มดาวขนาดใหญ่ แต่เมื่อถึงฤดูร้อนเมื่อกลุ่มดาวแมงป่องโผล่ขึ้นขอบฟ้า ดาวนายพรานโอเรียนจะจางแสงไปและหนีหายกลับไปในมหาสมุทร ตำนานในตอนนี้คงเป็นการแต่งเพื่ออธิบายปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเกี่ยวกับดาวนายพรานและดาวแมงป่องนั่นเอง
แต่ยังมีอีกตำนานหนึ่งเล่าต่างไปว่าวันหนึ่งเทพอะพอลโลเห็นโอเรียนเดินลุยทะเลโผล่หัวเหนือผิวน้ำ มองไกลๆเห็นเหป็นจุดดำๆจึงแกล้งท้าพระธิดาอาร์ทีมิสยิ่งไปที่นั่นเพื่อทดสอบฝีมือ เมื่อรู้ความจริงในภายหลังเทพีแห่งการล่าสัตว์ได้บันดาลให้โอเรียนพร้อมด้วยสายรัดเอว ดาบและกระบองคู่มือกลายเป็นกลุ่มดาวนายพรานบนฟากฟ้า และสุนัขของโอเรียนนั้นก็ได้กลายเป็นกลุ่มดาวซิริอัส (Sirius) อยู่ท้ายกลุ่มดาวนายพราน
แหล่งอ้างอิง
ธนากิต. (2546). ตำนานเทพเจ้าและวีรบุรุษกรีก-โรมัน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ปิรามิด.
Credit Photo : camphalfblood.wikia.com
Credit Photo : www.shmoop.com