จะเลือกเคารพพระแบบใด

เนื่องด้วยข้าพเจ้าเป็นคนแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ หากได้สนใจในเรื่องใดขึ้นมาแล้ว  ก็จะทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นอย่างที่สุด จะไม่ยอมปล่อยให้กาลเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ จนกว่าจะได้บรรลุถึงจุดๆหนึ่งที่ตนพอใจแล้วเท่านั้น จึงจะยอมเลิกราได้

 

                         นี่ก็เช่นเดียวกัน เมื่อข้าพเจ้าเกิดความสนใจในพระพุทธศาสนาขึ้นมา และโชคดีได้ประสบพบท่านหลวงพ่อด้วย  ข้าพเจ้าก็ยิ่งปลื้มปิติและตั้งปณิธานเอาไว้  ข้าพเจ้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อค้นคว้าหาความกระจ่างในพระพุทธศาสนาให้ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าพเจ้าถามปัญหาและหลวงพ่ออธิบายตอบ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมจบสิ้นเลิกราเอาง่ายๆเหมือนเช่นผู้อื่น หากแต่เมื่อจากหลวงพ่อกลับถึงบ้านแล้ว ข้าพเจ้าจะนั่งพิจารณาทบทวนขบคิดถึงปัญหาและคำตอบของหลวงพ่ออย่างละเอียดและรอบคอบ ด้วยเหตุและเสมอมาทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าจะเข้าใจในคำอธิบายได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังไม่กระจ่างชัดไปเสียหมดทีเดียว มิหนำซ้ำกลับดูเหมือนว่าความเคลือบแคลงสงสัยอยากที่จะได้รับรู้รับฟัง ยังมีอีกมากมาย

 

                        โดยเฉพาะในเรื่องของพระสงฆ์นั่นเอง  ข้าพเจ้าเคยได้ยินผู้คนเขาพูดวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายเหลือเกิน อาทิเช่นบางคนพูดว่า “พระที่ฉันเคารพกราบไหว้นั้นจะต้องเป็นพระที่เคร่งวินัย  ต้องรู้จักสำรวมในการพูด มิใช่พูดไปหัวเราะไป หรือพูดกระเซ้าเหย้าแหย่ลูกศิษย์ลูกหา” บางคนก็พูดว่า “พระที่ฉันเคารพนั้นจะต้องเป็นพระที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์เป็นอาหาร” บางคนพูดว่า “พระที่ฉันเคารพกราบไหว้ทุกวันนี้ ท่านนอนกระดานแผ่นเดียวเชียวนะ มิหนำซ้ำฉันอาหารรวมในบาตรเดียว และมื้อเดียวด้วย และไม่ยอมจับเงินเสียด้วย”

 

                           บางคนพูดว่า “พระองค์ที่ฉันเคารพกราบไว้ทุกวันนี้ ท่านให้หวยแม่นี่สุดเลย รถเก๋งจอดกันแน่นที่วัดทุกวันทีเดียวนะ” เป็นต้น

                           ด้วยเหตุนี้  ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงถือโอกาสถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ โดยทั่วๆไปแล้วเราควรจะเคารพกราบไหว้พระที่เคร่งในวินัยและสำรวมในการพูด มากกว่าพระที่ไม่สำรวมใช่ไหมครับ ?”

                            “เออ!..ถามดี  ตอนนี้คุณกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนผู้บังคับฝูงใช่ไหม?” หลวงพ่อย้อนถาม

                            “ครับ” ข้าพเจ้าตอบ ชักลังเล

                             “นักเรียนในโรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นของคุณนั้นมีกี่คน” หลวงถามต่อ

                             “มีประมาณ ๑๖๐ คนครับ” ข้าพเจ้าตอบไป ชักงงหนัก

                             “ทั้ง ๑๖๐ คนจบจากโรงเรียนนายทหารหลักอย่างคุณทั้งหมดไหม?” หลวงพ่อถามต่อ

                             “ไม่หรอกครับ ปะปนกัน มีทั้งจบโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศก็มี จบจากมหาวิทยาลัยในเมืองไทยก็มี เมืองนอกก็มี และเลื่อนยศขึ้นมาจากนายทหารชั้นประทวนก็มีครับ รวมความว่ามีทั้งไม่ได้ปริญญา ได้อนุปริญญา ปริญญาตรีก็มี ปริญญาโทก็มีและปริญญาเอกก็มีครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างละเอียด ไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมารูปแบบใด

 

                             “อ้อ!..แล้วนักเรียนจำพวกไหนที่ขยันที่สุด คร่ำเคร่งในการดูตำรับตำรามากที่สุดล่ะ” หลวงพ่อถามเรื่อยๆ ทำให้ข้าพเจ้าต้องใคร่ครวญอยู่นานพอสมควร จึงตอบไปตามที่รู้ที่เห็นว่า

                              “พวกที่คร่ำเคร่งดูตำรับตำราและตั้งอกตั้งใจฟังครูสอนมากที่สุดก็คือพวกที่เขาเลื่อนมาจากนายทหารชั้นประทวนครับ เพราะเขาไม่ค่อยเข้าใจและฟังครูสอนไม่ทัน

 

                             “แล้วพวกคุณที่จบจากโรงเรียนนายทหารหลักล่ะ” หลวงพ่อถามต่อ

                             “ผมก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แล้วแต่ว่าวิชาไหนน่าสนใจหรือไม่ แต่ความจริงแล้วครูก็ว่าไปตามตำราไม่ต้องฟัง อ่านเอาเองทีเดียวก็จำได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบไปตามความเป็นจริง

 

                              “เออ!..นั่นแหละ พระท่านที่ท่านเคร่งนั้นเป็นเพราะเพิ่งจะเริ่มฝึกปฏิบัติ ยังไม่มีปัญญาพอ เกรงว่า ตา หู ลิ้น กาย ใจ ไปสัมผัสอะไรเข้าแล้วมาบอกจิตที่ยังขาดปัญญา ก็จะเกิดความโลภ โกรธ หลง คือ กิเลส หรือความทะเยอทยานอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น คือ ตัณหา หรือเกิด อุปาทาน ความหลงเอาว่าไอนั้นเป็นของเรา ไอ้นี่เป็นของเราเข้าได้ ท่านจึงต้องปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของท่านเสีย จึงดูเหมือนเป็นพระเคร่งในสายตาคนทั่วไปเท่านั้นเอง เหมือนนายทหารชั้นประทวนที่เลื่อนชั้นยศขึ้นมาตามคุณเล่านั่นแหละ ส่วนพระที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าบรรลุมรรคผลมีปัญญาแล้ว ท่านมีสติอยู่ตลอดเวลา ท่านก็ทำตัวสบายๆ ไม่จำเป็นต้องระวังอะไรมากมาย ดังเช่นพระสารีบุตร ท่านก็เล่นกับเด็กนะเหมือนพวกคุณ ก็ไม่เห็นต้องเรียนต้องฟังอะไรจากครูมากมายนั่นแหละ ดังนั้นจึงจะรีบด่วนสรุปเอาว่าพระที่เคร่งพระสำรวม เหนือหว่าพระที่ไม่สำรวมยังไม่ได้นะ” หลวงพ่อตอบย่างเมตตา

 

                                “แล้วพระที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ฉันอาหารมื้อเดียว หรือฉันอาหารสำรวมในบาตรเดียวล่ะครับ จะถือว่าเหนือกว่าพระที่ฉันอาหาร ๒มื้อไหมครับ ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

                                “พระพุทธเจ้าท่านห้ามมิให้พระสงฆ์สาวกของท่านฉันเนื้อเพียงเฉพาะบางประเภท เช่น เนื้อมนุษย์ เนื้อสุนัข เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อเสือ มิได้พาดพิงไปถึงเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวโลกนะ อีกทั้งยังทรงย้ำว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์นั้น จะต้องกระทำตนให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย อย่าให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน ส่วนการที่จะฉันมื้อเดียวก็ดี หรือฉันอาหารสองมื้อก็ดี พระพุทธเจ้าก็ทรงมิได้กำหนดไว้ เป็นเรื่องของเกจิอาจาร์ยแต่ละท่านวางกำหนดกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น จะเอาเรื่องการฉันเนื้อไม่ฉันเนื้อก็ดี ฉันมื้อเดียวก็ดี หรือฉันอาหารสองมื้อก็ดี หรือการฉันสำรวมในบาตรเดียวทั้งของหวานขอคาวมาคลุกเคล้ากันก็ดี มาเป็นเครื่องวัดว่าพระภิกษุรูปใดยังไม่ได้นะ มันอยู่ที่ว่าท่านเหล่านั้นในขณะที่เสพอาหาร มีสติพิจารณา “อาหาเรปฏิกูลสัญญา” หรือไม่ต่างหาก ” หลวงพ่ออธิบาย

 

                               “อาหาเรปฏิกูลสัญญา นั้นพิจารณาอะไรครับหลวงพ่อ ?”ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ

 

                               “พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็คือ พิจารณาอาหารที่ขบฉันให้เห็นว่าเป็นของน่าเกลียด อาหารใดก็ตามแม้นลิ้นสัมผัสแล้วจะเลิศรสเพียงไร หากขบเคี้ยวแล้วคายออกมาดูจะเห็นว่าน่ารังเกียจ ยิ่งเมื่อกลืนเข้าไปในท้องแล้วสำรอกออกมาดูจะเห็นว่าน่าเกลียดมาก และยิ่งหากปล่อยทิ้งไว้ถ่ายออกมาดูก็ยิ่งน่าเกลียดที่สุดใช่ไหม ดังนั้นพระภิกษุสงฆ์รูปใดฉันมังสวิรัติ (ไม่ฉันเนื้อสัตว์)ก็ดี  หรือฉันอาหาคาวหวานคลุกเคล้ารวมในบาตรเดียวกันก็ดี หรือฉันอาหารมื้อเดียวก็ดี หากมิได้พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาแล้ว เกิดไปติดในรสในรสชาติอาหารมังสวิรัติก็ดี อาหารคาวหวานที่คลุกรวมในบาตรก็ดี หรืออาหารเพียงมื้อเดียวที่ขบฉันก็ดีย่อมสู้พระภิกษุฉันอาหาร ๒ มื้อ แต่พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาทั้ง ๒ มื้อไม่ได้” หลวงพ่ออธิบายเรื่อยๆ แล้วพูดต่อว่า

 

                                “อาหาเรปฏิกูลสัญญานั้น นอกจากจะพิจารณาว่าอาหารที่ขบฉันเป็นของน่าเกลียดแล้ว จะต้องพิจารณาต่อไปอีกด้วยว่า บรรดาอาหารเหล่านั้นจะมีรสเลิศหรือไม่ก็ดี จะถูกหรือแพงก็ดี จะเป็นมังสวิรัติก็ดี จะเป็นเนื้อสัตว์ก็ดี จะเป็นอาหารที่รวมคาวหวานในบาตรเดียวก็ดี เรากินเพียงเพื่อให้ร่างกายคงอัตภาพ อยู่ได้เพียงชั่วคราว เพื่อจะได้บำเพ็ญความเพียรไปสู้มรรคผลนิพพานได้เท่านั้นเองนะ สรุปได้ว่าภิกษุท่านใดอยากฉันมังสวิรัติ ภิกษุท่านใดอยากฉันอาหารคาวหวานคลุกเคล้าในบาตรเดียวกัน ภิกษุท่านใดอยากฉันมื้อเดียว หรือภิกษุท่านใดอยากฉัน ๒มื้อ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละท่าน แต่อย่าได้นำวิธีการขบฉันของตนไปข่มหรือปรามาสภิกษุสงฆ์ท่านอื่นเป็นอันขาดนะ  นรกเล่นงานแน่ เพราะพระพุทธเจ้ามิได้กำหนดเกณฑ์ไว้นะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด

 

                                “แล้ว  พระที่นอนกระดานแผ่นเดียวล่ะครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้าถามเพราะเคยได้ยินมา

                                “ก็ถ้าท่านคิดว่านอนบนกระดานแผ่นเดียว จะสามารถปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็เป็นเรื่องของท่านนะ” หลวงพ่อตอบขำๆ และพูดต่อว่า “แต่ถ้านอนกระดานแผ่นเดียวด้วยเจตนาหวังให้สานุศิษย์ยกย่องสรรเสริญ อีกทั้งยกตนข่มพระภิกษุสงฆ์รูปอื่นว่าสู้ตนไม่ได้ละก็ ลงนรกนะ เข้าใจรึยังล่ะ”

                                 “เข้าใจครับ คราวนี้ที่เขาว่า  พระธรรมยุตเคร่งกว่าพระมหานิกาย โดยเฉพาะท่านไม่ยอมแม้แต่จับเงินด้วยซ้ำไปล่ะครับ” ข้าพเจ้ารีบฉวยโอกาสถามต่อ

                                 “ทั้งพระธรรมยุต และพระมหานิกายนั้น ก็ล้วนถูกจัดเข้าเป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบ และเพียรพยายามปฏิบัติเพื่อไปสู่มรรคผลนิพพานนะเรื่องความเคร่งไม่เคร่งนั้น  ฉันได้อธิบายไปแล้วว่าอย่าเอามาเป็นเครื่องวัดพระมิได้เป็นอันขาด ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับว่าถ้าพระที่ไม่ได้จับเงินเอง แต่ให้ผู้อื่นจับแทนแล้วไปสั่งให้เขานำเงินไปใช้ผิดความประสงค์ของผู้บริจาค นรกเล่นงานแน่ สู้พระท่านจับเอง หากมิได้มีจิตโลภในทรัพย์สินเงินทอง และนำเงินที่ได้ไปบริจาคไปสร้าง ไปทำตามความประสงค์ของผู้บริจาค  ” หลวงพ่ออธิบาย และเมื่อเห็นข้าพเจ้าสนใจอยู่ก็พูดต่อว่า “พระธรรมยุตนั้นท่านจะปฏิบัติของท่านเช่นไร ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ถ้าเมื่อใดท่านหลงผิดว่าท่านเหนือกว่าพระมหานิกายเมื่อใดแล้ว  ท่านจะไม่มีวันบรรลุมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากวัฏฏะได้เลยนะ เพราะท่านยังติดในสังโยชน์ ๑๐ คือมานะ ซึ่งหมายถึงความว่ามีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี นั้นแหละ ดังนั้นฉันจึงขอย้ำตามที่เคยได้ตอบไปแล้วว่า  พระที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้นั้น  จะต้องเป็นพระที่มีความประพฤติประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน ด้วยการละสังโยชน์ ๑๐  ไปทีละข้อ จนเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุดนั่นเอง เข้าใจหรือยัง ? ” หลวงพ่อย้ำ

 

                                “เข้าใจแล้วครับ” ข้าพเจ้าตอบ คิดๆจะถามเรื่องให้หวยอยู่เหมือนกัน แต่คำตอบของหลวงพ่อเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่แท้จริงนั้นได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว จนสามารถตอบได้เอาเองว่า “พระที่ให้หวยนั้นยังฝักใฝ่ในโลกียะ มิใช่โลกุตระ และยังมิได้ประพฤติปฏิบัติตนตรงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไปสู่มรรคผลนิพพานอย่างจริงจัง  มิควรแก่การสนใจ

ข้าพเจ้าหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะมีความเข้าใจในพระสงฆ์ได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น ไม่มากก็น้อยนะครับ

 

 

คัดจากหนังสือ สู่แสงธรรม ของ พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป

Visitors: 355,670