มาร์ส (Mars) ไพ่ Chariot
เทพเจ้าแห่งสงคราม
เอริสพระโอรสองค์ใหญ่ของมหาเทพซีอุสกับพระนางเฮรา เป็นเทพบุตรที่สง่างามและหยิ่งผยอง ใจร้อนวู่วาม และรักในการสงครามจึงแตกต่างกับพระอนุชาเฮเฟสทัสผู้สุขุมและมีเมตตาราวฟ้ากับดิน
อิริส (Eris) เทพีแห่งความขัดแย้งทะเลาะวิวาท
เทพบุตรเอริสมีเทพีแห่งการทะเลาะวิวาทเป็นคู่หู เธอคือเทพธิดาอีริส (Eris) ผู้ดุร้ายน่าสะพรึงกลัวและมีจิตใจอันชั่วร้ายชอบการขัดแย้ง (บางตำนานว่าเป็นน้องของเทพอีริส) ความทุกข์ของผู้อื่นคือความสุขของเทพธิดาองค์นี้ นางมีแอปเปิ้ลทองที่งดงามอยู่ผลหนึ่ง มันคือแอปเปิ้ลแห่งความบาดหมางหรือความแตกสามัคคี (อันเป็นสาเหตุสำคัญในการทำให้เกิดศึกเมืองทรอย)
เมื่อเทพธิดาอีริสโยนแอปเปิ้ลแห่งความบาดหมางเข้าไปในกลุ่มผู้เป็นมิตรสหายกัน มิตรภาพที่เคยมีมาแต่เก่าก่อนจะขาดสะบั้นลงทันที เพราะใครๆก็ต้องการแอปเปิ้ลทองคำผลนี้ หากโยนเข้าไปในหมู่ทหารระหว่างสองเมืองสงครามจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ครั้นเมื่อได้ยินเสียงอาวุธกระทบกัน เทพบุตรเอริสจะแย้มพระโอษฐ์ด้วยความพอพระทัย ทรงคว้าอาวุธและหมวกเหล็กกระโจนขึ้นรถศึกขับตะลุยเข้าสู่สนามรบอย่างคึกคะนอง พระองค์ไม่สนในว่าฝ่ายใดจะชนะหรือแพ้ แต่จะช่วยให้การนองเลือด ความเจ็บปวดและสูญเสีย ดำเนินไปอย่างดุเดือด เทพบุตรเอริสกับเทพธิดาอีริสจึงถือเป็นเทพอันธพาลของกรีก
บางครั้งเทพบุตรเอริสพลาดพลั้งได้รับบาดเจ็บจากการรบ พระองค์จะส่งเสียงร้องโอดครวญได้ยินไปไกลหลายไมล์ แม้จะเนอมตะแต่กลับเป็นเทพเจ้าที่พระทัยเสาะ เมื่อเกิดบาดแผลจะรีบกลับมาขอให้พระบิดาชโลมด้วยขี้ผึ้งทิพย์เพื่อประสานรอยแผล
มหาเทพซีอุสได้ตรัสสั่งสอนทุกครั้ง แต่เทพบุตรเอริสไม่เคยเชื่อฟังยังคงชื่นชอบสงครามและการทะเลาะวิวาทเช่นเคย เทพเจ้าทั้งหลายต่างรังเกียจและชิงชังเทพบุตรเอริส จะมีแต่เทพธิดาวีนัสเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงชื่นชม สำหรับมนุษย์ที่ยกย่องเทพองค์นี้เห็นจะมีแต่ชาวโรมันผู้ชอบการสงครามเท่านั้น ในอดีตชาวโรมันได้ยกย่องให้เทพบุตรเอริสเป็นพระบิดาของ โรมิวลัส (Romulus) ผู้สร้างกรุงโรม
เทพบุตรเอริสกับเทพธิดาวีนัส
เทพเอริสหรือมาร์สผู้งามสง่า (แต่จิตใจชั่วร้าย) กับเทพธิดาวีนัสผู้เลอโฉม ได้มีจิตปฏิสัมพัทธ์ซึ่งกันและกัน และได้แอบลักลอบร่วมอภิรมย์กันโดยไม่มีเทพเจ้าองค์ใดล่วงรู้ ครั้นเมื่อทราบว่าบรรดาเทพเจ้าเริ่มระแคะระคายและคอยจับตาดูอยู่ ทั้งสองจึงแอบพบกันเฉพาะในยามราตรีอันมืดมิด
ตำนานไก่ขันยามรุ่งอรุณ
เพื่อไม่ให้ความลับถูกเปิดเผย เทพบุตรเอริสได้ให้หนุ่มน้อยผู้หนึ่งนามว่า อเล็กไทรออน (Alectryon) เป็นยามคอยปลุกก่อนรุ่งอรุณ เพื่อคู่ชู้ทั้งสองจะได้แยกจากกันก่อนที่อะพอลโล หรือเทพเจ้าแห่งแสงสว่างจะส่องสู่ฟากฟ้า
แต่แล้ววันหนึ่งยามหนุ่มเกิดเผลอหลับจนรุ่งเช้า เทพอะพอลโลพบเห็นภาพเทพบุตรเอริสและเทพธิดาวีนัสนอนหลับอยู่ด้วยกัน จึงนำความไปบอกเทพวิศวกรรมเฮเฟสทัสหรือวัลคันพระสวามีของเทพธิดาวีนัส
เทพวิศวกรรมได้สร้างร่างแหวิเศษเตรียมไว้ เมื่อสบโอกาสจึงนำไปครอบสองชู้รักคือเทพเอริสกับเทพธิดาวีนัสเอาไว้เพื่อประจานให้เทพทั้งปวงได้เยาะเย้ยถากถาง เทพบุตรเอริสได้รับความอับอายและอดสู จึงสาปอเล็กไทรออนให้กลายเป็นไก่มีหน้าที่ส่งเสียงขันยามใกล้รุ่งเพื่อปลุกมนุษย์ให้ตื่นมาจากหลับใหล ตำนานเล่าต่อว่าไก่ตัวผู้บนโลกทุกตัวสืบเชื้อสายมาจากไก่หนุ่มตัวนี้
โอรสธิดาของเทพบุตรเอริส กับ เทพธิดาวีนัส
เทพบุตรมาร์ส กับ เทพธิดาวีนัส มีโอรส (หลานของเทพซีอุส) ด้วยกันสององค์ และธิดาองค์หนึ่ง รววม 3 องค์ เรียงลำดับได้แก่
- อีรอส (Eros) หรือ คิวปิด (Cupid) เทพเจ้าแห่งความรัก หรือกามเทพ
- แอนทีรอส (Anteros) เทพผู้บันดาลให้เกิดความรักตอบ
- เฮอร์ไมโอนี (Hermione) หรือ ฮาร์โมเนีย (Harmonia)
เรื่องราวพิศวาสของเทพธิดาวีนัส ใช่จะมีแต่เทพบุตรมาร์สก็หาไม่ ยังมีกับนายพรานหนุ่มนามว่า อโดนิส (Adonis) อีกด้วย
อีรอสหรือคิวปิดมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเทพธิดาวีนัสผู้เป็นพระมารดาผู้เป็นพระมารดาและเทพองค์อื่นอีกมากมาย ส่วนเทพธิดาเฮอร์ไมโอนี มีรายละเอียดอยู่ในประวัติของเทพบุตรไดโอนิซัส (Dionysus) หรือ แบคคัส (Bacchus) เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่น
อีรอส (Eros) หรือ คิวปิด (Cupid)
เทพเจ้าแห่งความรัก (กามเทพ)
เทพบุตรคิวปิดเป็นโอรสของเทพเอริสหรือมาร์สกับเทพธิดาวีนัส ในตำนานกล่าวไว้ว่า นอกจากเทพบุตรอะพอลโลแล้ว เทพบุตรคิวปิดเป็นผุ้ที่มีรูปร่างลักษณะงดงามที่สุดในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย และเทพบุตรองค์นี้ยังได้ชื่อว่า “ติดแม่” มากที่สุดด้วย ทั้งนี้เพราะเทพธิดาวีนัสเป็นเทพีแห่งความรักผู้เลอโฉม ส่วนคิวปิดเป็นเทพบุตรแห่งกามเปรียบเสมือนความรักย่อมอยู่คู่กามหรือความใคร่
บางตำนานเล่าว่า เทพบุตรองค์แรกที่เทพธดาวีนัสพิศวาสและร่วมอภิรมย์ด้วยคือเทพบุตรเอริสหรือมาร์ส จนเกิดโอรสธิดาด้วยกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ซีอุสได้ยกเทพธิดาวีนัสให้เป็นพระชายาของเทพวิศวกรรมเฮเฟสทัส หรือวัลคัน แต่เทพธิดาวีนัสมิได้ชื่นชมพระสวามีของพระองค์แต่ประการใด จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าทั้งสองอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยากันแต่เพียงในนามเท่านั้น เพราะผู้ที่เทพธิดาวีนัสรักและชื่นชมคือเทพบุตรเอริสหรือมาร์ส
แม้กระนั้นเทพวิศวกรรมเฮเฟสทัสก็มิได้ตั้งข้อรังเกียจเทพบุตรคิวปิดเลยแม้แต่น้อย กลับสร้างอาวุธอันทรงอานุภาพคือศรแห่งความรักให้ด้วยซ้ำไป
เทพบุตรแอนทีรอน (Anteros) เทพผู้บันดาลให้เกิดความรักตอบ
ในระยะแรกเทพคิวปิดทรงเป็นเทพวัยเยาว์อยู่เป็นนิตย์ พระมารดาวีนัสทรงปรารภกับ เทพธิดาอาร์ทีมิส ผู้เป็นเทพีแห่งความยุติธรรมว่า เหตุใดโอรสคิวปิดจึงไม่เจริญวัย ยังคงมีลักษณะเป็นกุมารอยู่เช่นเดิม เมื่อได้รับคำแนะนำว่าคงเพราะขาดเพื่อนเล่นแก้เหงา เทพธิดาวีนัสจึงให้กำเนิดบุตรแอนทีรอสเพื่อให้เป็นเพื่อนเล่นกับคิวปิด และภายหลังได้เป็นเทพบันดาลให้เกิดความรักตอบหลังจากผู้ใดถูกศรรักของคิวปิดกามเทพแล้ว ผู้ที่ผู้นั้นหลงรักก็จะมีความรักตอบด้วยการบันดาลของเทพแอนทีรอส
หลังจากมีเพื่อนเล่นที่ถูกพระทัย เทพบุตรคิวปิดก็เจริญเติบโตแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่โดยทั่วไปจิตรกรมักวาดภาพของกามเทพคิวปิดอยู่ในเพศทารกหรือในลักษณะพระกุมาร ถือคันธนูแห่งความรัก โบยบินฉวัดเฉวียนไปด้วยปีกทั้งสองข้าง คอยยิงศรรักปักหัวใจหนุ่มสาวตราบเท่าทุกวันนี้
คิวปิดกับชายาไซคิ (Psyche)
กาลครั้งหนึ่ง กษัตริย์องค์หนึ่งของกรีกมีพระธิดา 3 องค์ล้วนสิริโฉมโสภาแต่พระธิดาองค์เล็กนามว่า เจ้าหญิงไซคิ (Psyche) นันมีความงามเกินกว่าหญิงใดในหล้า เหนือกว่าความงามของพระนางทั้งสองรววมกันจนเป็นที่เลื่องลืมเฟื่องฟุ้ง ทำให้ใครๆต่างหลงลืมการบูชาเทพธิดาวีนัสเทพีแห่งความรักผู้เลอโฉม เป็นเหตุให้ศาลของพระนางเงียบเหงา มีเพียงแท่นบูชาที่ว่างเปล่าหาผู้มาบวงสรวงมิได้ แม้แต่แขกต่างเมืองก็พากันเดินเลยผ่านไปเพราะมุ่งมั่นแต่จะชมความงามของเจ้าหญิงไซคิ (ในตำนานกล่าวว่านางมีปีกเหมือนผีเสื้อ) สร้างความริษยาให้แก่เทพธิดาวีนัสยิ่งนัก
มีหนทางเดียวที่จะทำให้ใครๆพากันเลิกลุ่มหลงในความงามของเจ้าหญิงไซคิได้นั่นคือการสั่งโอรสคิวปิดไปยิงศรกามเทพ ให้เจ้าหญิงไซคิหลงรักสัตว์อุบาทว์ทรลักษณ์สักตนหนึ่ง แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรเป็นไปในทางตรงข้าม เพราะเมื่อได้รับบัญชาแกมขอร้องจากพระมารดาวีนัส เทพบุตรคิวปิดรีบเสด็จไปยังอุทยานของพระมารดาซึ่งมีน้ำพุอยู่สองแอ่ง แอ่งหนึ่งเป็นน้ำพุหวานสำหรับบันดาลความชื่นบาน ส่วนอีกแอ่งหนึ่งเป็นน้ำพุสำหรับบันดาลความขื่นขมระทมใจ เทพบุตรคิวปิดตักน้ำพุบรรจุแยกไว้ในคนโทสองใบ
ครั้นเมื่อลอบเข้าไปในห้องที่เจ้าหญิงไซคิบรรทมเทพบุตรคิวปิดได้ประพรมน้ำแห่งความชื่นบานลงบนโอษฐ์ของเจ้าหญิง แล้วเอาปลายศรแห่งความรักสะกิดที่สีข้าง พลันเจ้าหญิงไซคิก็ตกพระทัยสะดุ้งตื่นและในบัดดลนั้นเองปลายศรก็สะกิดเอาสีข้างของเทพบุตรคิวปิดเข้าเช่นกัน ทั้งสองจึงเกิดความรักเสน่หาซึ่งกันและกันด้วยอำนาจแห่งศรศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าเทพบุตรคิวปิดจะไม่ได้แสดงองค์ให้เจ้าหญิงไซคิได้เห็นก็ตาม
เทพบุตรคิวปิดเปลี่ยนใจ นำน้ำพุหวานในคนโทราดลงบนเรือนผมของเจ้าหญิง ก่อนที่จะโผบินออกไปจากห้องบรรทม ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเจ้าชายหนุ่มจากเมืองใดคิดสู่ขอเจ้าหญิงไปเป็นชายา แม้จะหลงใหลชื่นชมในความงาม แต่ต่างกลับคิดว่าเจ้าหญิงอยู่สูงสุดเอื้อม จนพระนางทั้งสองมีคู่ครองไปนานแล้ว ก็ยังไม่มีใครกล้ามาสู่ขอ พระบิดาของเจ้าหญิงเข้าพระทัยว่าเป็นเพราะเทพเจ้าดลบันดาล เนื่องจากพระองค์ทำความผิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้จึงไปขอคำพยากรณ์จากวิหารของเทพอะพอลโล และได้รับคำทำนายว่าเป็นเพราะคู่ครองขององค์หญิงไซคิไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ดังนั้นพระบิดาพระมารดาจึงจัดขบวนแห่นำพระธิดาไซคิไปส่ง ณ ยอดขุนเขาแห่งหนึ่งตามที่ได้รับคำแนะนำ ต่างรู้สึกทุกข์ระทมที่ต้องจากกันไปแต่ไม่อาจขัดขืนลิขิตสวรรค์ได้ เจ้าหญิงไซคิถึงกับยืนสะอื้นไห้เมื่อถูกนำมาปล่อยไว้ลำพัง
เทพเซฟเฟอร์เจ้าแห่งลมตตะวันตก ได้โอบอุ้มเจ้าหญิงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งงดงามไปด้วยหมู่มวลพฤกษชาติ เมื่อตื่นขึ้นมาเจ้าหญิงได้พบน้ำพุและตำหนักหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปภายในมีเสียงนางไม้กระซิบบอกว่าพวกนางคือบริวารคอยดูแลรับใช้ ครั้นยามราตรีคู่ครองของเจ้าหญิงได้มาร่วมอภิรมย์เสน่หาโดยไม่อาจมองเห็นรูปร่างหน้าตา
ในเวลาต่อมาเมื่อเจ้าหญิงไซคิเชิญพระพี่นางทั้งสองมาเยือนตำหนัก และได้รับคำยุยงว่าคู่ครองของนางคงจะมีรูปร่างอัปลักษณ์ควรจะแอบจุดไฟส่องดูยามที่พระสวามีหลับ และในคืนนั้นเจ้าหญิงไซคิได้เห็นรูปลักษณ์อันสง่างามของเทพบุตรคิวปิดพร้อมด้วยปีกทั้งสองข้าง เป็นเหตุให้เจ้าหญิงเกิดความหลงใหลเพลินชมจนไม่วางตาและเมื่อขยับเข้าไปดูใกล้ๆน้ำมันตะเกียงเกิดหยดลงต้องอังสา (บ่า) เทพบุตรคิวปิดตื่นจากบรรทมตรัสว่า “ความรักจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร หากเจ้าขาดความไว้วางใจในคู่รักของเจ้า” แล้วขยับปีกโบยบินจากไป
เมื่อเจ้าหญิงไซคินำความบอกกับพระพี่นางทั้งสอง ก็ได้รับคำปลอบประโลม แต่แท้ที่จริงแล้วพระพี่นางทั้งสองแอบซ่อนรอยยิ้มไว้ในใจ ด้วยหมายว่าเทพบุตรคิวปิดอาจจะเปลี่ยนจเลือกนางทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นคู่ครอง จึงไปกระโจนลงจากยอดเขาแล้วเรียกให้เซฟเฟอร์เทพแห่งลมตะวันตกมารับไปสู่ตำหนักซึ่งเจ้าหญิงไซคิเคยให้มารับไป แต่เทพแห่งลมตะวันตกไม่ได้รับคำสั่งจากเทพบุตรคิวปิดเหมือนครั้งแรกจึงนิ่งเฉย นางทั้งสองจึงพลัดตกเขาตาย
ส่วนเจ้าหญิงไซคิเที่ยวซัดเซพเนจรตามหาพระสวามีไปจนได้พบกับแพน (Pan) เทพเจ้าแห่งคนเดินทาง แม้เทพผู้มีขาเป็นขาแพะจะรู้สึกเห็นใจ แต่ไม่อาจช่วยเหลือประการใดได้นอกจากคำปลอบใจ ครั้นเมื่อมาถึงศาล เจ้าแม่ดีมีเทอร์ (Demeter) เทพีผุ้ครองการเก็บเกี่ยว เจ้าหญิงเห็นว่าเครื่องมือต่างๆตกอยู่ระเกะระกะจึงเก็บรวบรวมจัดไว้เป็นหมวดหมู่ เทพธิดาดีทีเมอร์เกิดความเมตตาจึงแนะให้นางไปขออขมาโทษต่อเทพธิดาวีนัส
เมื่อได้รับการบวงสรวง เทพีแห่งความรักผุ้เลอโฉมทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างภาคภูมิใจที่แม้แต่ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่างามกว่าหญิงใดในหล้ายังยอมสยบต่อพระองค์ กระนั้นก็ยังบัญชาให้เจ้าหญิงทรงกระทำภารกิจหลายอย่างเพื่อเป็นการไถ่โทษ ซึ่งล้วนแล้วแต่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถกระทำได้ เช่น การจำแนกเมล็ดพืชนานาชนิดที่ปะปนระคนกันอยู่ในฉางใหญ่ออกเป็นพวกๆให้เสร็จก่อนค่ำ
เทพบุตรคิวปิดได้มีบัญชาให้ฝูงมดช่วยกันแยกแยะเมล็ดธัญพืชออกเป็นหมวดหมู่เพื่อเป็นการช่วยเหลือชายา เมื่อพระมารดาวีนัสทรงทราบกลับยิ่งพิโรธใช้ให้เจ้าหญิงไซคิข้ามแม่น้ำไปถอนขนแกะทองคำตัวละ 1 เส้นมาถวาย เทพประจำแม่น้ำสงสารได้กระซิบบอกความลับสั่งฝากไว้กับต้นอ้อว่า เวลาเช้าถึงเที่ยงน้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวมีอันตรายและฝูงแกะทองคำต่างมีอารมณ์ฉุนเฉียวดุร้าย ให้รอตอนเวลาเลยเที่ยงค่อยข้ามไปเพราะเป็นเวลาที่น้ำสงบนิ่งและจะได้พบขนแกะทองคำที่ติดอยู่ตามพุ่มไม้สามารถเก็บได้โดยง่าย
เทพธิดาวีนัสยังใช้ให้เจ้าหญิงไซคิไปขอความงามของเทพธิดาเพอร์เซโฟนี (Persephone) ราชินีแห่งยมโลกมาถวาย เจ้าหญิงไซคิได้ขึ้นไปบนหอสูงหมายจะกระโดดฆ่าตัวตายให้หมดเรื่องหมดราว และคิดว่านี่เป็นวิธีไปสู่ยมโลกได้ดดยง่าย แต่พลันมีเสียงหนึ่งกระซิบบอกเส้นทางไปสู่ยมโลกให้ โดยต้องลัดเลาะไปตามทางในถ้ำแห่งหนึ่ง ข้ามแม่น้ำโดยเรือจ้างของแครอน รวมทั้งบอกวิธีหลีกเลี่ยงเซอร์เบรัสสุนัขอสุรกาย 3 หัวที่เฝ้าประตูทางเข้าให้ด้วย ทั้งกำชับไม่ให้กินผลไม้ใดๆยกเว้นอาหารที่ทำด้วยแป้ง และในระหว่างทางกลับห้ามมิให้เปิดโถออกดู
เจ้าหญิงไซคิปฏิบัติตามคำแนะนำทุกประการ ยกเว้นข้อสุดท้ายเพราะคิดว่าเทพธอดาเพอร์เซโฟนีได้บรรจุความงามใส่ไว้จริงหรือเปล่า และหากจริงน่าจะนำมาเสริมให้ตนงดงามมากขึ้น เมื่อเปิดออกปรากฏว่าภายในโถบรรจุไว้ด้วยความหลับจากยมโลก เป็นเหตุให้เจ้าหญิงไซคิหลับใหลไม่ได้สติ
เทพบุตรคิวปิดได้มาช่วยเก็บความหลับคืนเข้าไปในโถตามเดิม แล้วใช้ศรสะกิดปลุกชายาไซคิตื่น พร้อมชี้ให้เห็นความสอดรู้สอดเห็นอันทำให้เกิดความยุ่งยากทั้งในคราวที่แอบจุดเทียนลอบชมร่างพระสวามี เจ้าหญิงจึงโถไปถวายเทพธิดาวีนัส ส่วนเทพบุตรคิวปิดได้ไปทูลขอนน้ำอมฤตจากมหาเทพซีอุสเพื่อนำมาให้ชายาดื่ม นับแต่นั้นมาทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตราบชั่วนิรันดร์
ตำนานดอกอโดนิส (Adonis) หรือ ดอกอะนีโมนิ (Anemone)
ดังที่กล่าวไว้ในตอนท้ายของประวัติความเป็นมาแห่งเทพธิดาวีนัสแล้วว่านอกจากเทพบุตรเอริสหรือมาร์สผุ้สง่างาม เทพีแห่งความรักผุ้เลอโฉมยังมีเรื่องเสน่หากับนายพรานหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า อโดนิส (Adonis) อันเนื่องมาจากพิษศรแห่งความรักของโอรสคิวปิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ
เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งขณะที่พระมารดาวีนัสทรงหยอกเย้าอยู่กับโอรสคิวปิด นางเผลอไปถูกศรเข้าโดยบังเอิญ ครั้นได้ยลโฉมนายพรานหนุ่มก็บังเกิดความรัปหลงใหล แต่เนื่องจากเทพบุตรคิวปิดมิได้ยิงศรรักเข้าสู่ดวงใจของอโดนิส เรื่องจึงกลายเป็นว่าเทพธิดาผู้เลอโฉมหลงรักนายพรานหนุ่มผู้เป็นมนุษย์เพียงข้างเดียว นางเพียรเฝ้าตามอย่างห่วงใยและคอยตักเตือนมิให้พรานหนุ่มกระทำการล่าสัตว์ด้วยวิธีเสี่ยงต่ออันตราย แต่อโดนิสหาได้รับฟังหรือสนใจไยดีแต่ประการใด
ครั้งหนึ่งอโอนิสเกิดพลาดพลั้งถูกหมูป่าที่บาดเจ็บเพราะโดนไล่ล่าจนตรอกถลาเข้าขวิดจนล้มลงขาดใจตาย เทพธิดาวีนัสทรงเทพยานเทียมหงส์ผ่านมาพบจึงกันแสงฟูมฟายโอดครวญ และเนื่องจากไม่ต้องการให้วิญญาณชู้รักถูกนำไปสู่ยมโลก เลยใช้เทวฤทธิ์บันดาลให้หยาดโลหิตของอโดนิสกลายเป็นบุปผชาติชนิดหนึ่งเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความโศกเศร้า ดอกไม้นั้นมีสีแดงดังสีทับทิม เรียกกันว่า ดอกอโดนิส หรือ ดอกอะนีโมนิ
เทพธิดาวีนัสบันดาลให้รูปปั้นนางกัลละเทีย(Galatea) มีชีวิต
เทพธิดาวีนัสเทพีแห่งความรักอย่างแท้จริง นางได้ช่วยบันดาลให้หนุ่มสาวหลายคู่สมหวัง ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
ณ เกาะ ไซปรัส อันเป็นเกาะหนึ่งที่มีศาลของเทพธิดาวีนัสซึ่งชาวเมืองนิยมทำการบวงสรวง มีช่างปั้นฝีมือดีผู้หนึ่งชื่อว่า พิกเมเลียน (Pygmalion) เขาได้ปั้นรูปผู้หญิงที่มีความงามเลิศล้ำขึ้นมาและให้นามของนางว่า กัลละเทีย(Galatea) เนื่องจากนางมีรูปลักษณะเสมือนมนุษย์อย่างไม่ผิดเพี้ยน พิกเมเลียนจึงเกิดความรักจนหลงใหล ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนผุ้หญิงคนใดในโลก
ช่างปั้นหนุ่มได้ทูลขอให้เทพธิดาวีนัสเนรมิตให้นางอันเป็นที่รักยิ่งมีชีวิตเลือดเนื้อขึ้นมา และก็ได้ดังความประสงค์ เปลวไฟที่แท่นบูชาพุ่งขึ้นมาสามครั้งตามคำอธิษฐานเสี่ยงทาย พิกเมเลียนดีใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ เมื่อกลับมาถึงบ้านและบรรจงจูบอย่างทะนุถนอม นางกัลละเทียก็กลับมีชีวิตเลือดเนื้อขึ้นมาเหมือนมนาย์ทุกประการ ทั้งสองได้แต่งงานกันและให้กำเนิดบุตรผู้หนึ่งนามว่า เพฟอส (Paphos)
ตำนานเหตุที่ผลหม่อนมีสีแดงดั่งเลือด
ยังมีตำนานเกี่ยวกับความรักที่เทพธิดาวีนัสได้ให้ความช่วยเหลืออีกเรื่องหนึ่งซึ่งแม้จะจบลงด้วยความเศร้าแต่ก็เป็นอุทาหรณ์ที่ดี
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หนุ่มสาวคู่หนึ่งมีความรักต่อกันอย่างแท้จริง ฝ่ายชายนั้นมีนามว่า พิรมัส (Pyramus) ฝ่ายหญิงสาวนั้นมีนามว่า ธีสบี (Thisbe) แต่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายกลับเป็นศัตรูคู่อาฆาตทั้งที่บ้านมีกำแพงชิดติดกัน เทพธิดาวีนัสช่วยให้หนุ่มสาวได้มีโอกาสพลอดรักกันตรงรอยแตกของกำแพงบ้านนั้นเอง
ครั้นเมื่อทั้งสองนัดไปพบกัน ณ นอกประตูเมืองตรงที่มีต้นหม่อน (ซึ่งในสมัยนั้นผลหม่อนยังมีสีขาว) ขึ้นอยู่ ธิสบีมาถึงนัดก่อน แต่หล่อนโชคร้ายโดยสิงโตตัวหนึ่งไล่ล่า แม้จะหนีรอดไปได้แต่เกิดทำผ้าคลุมหน้าหล่นไว้ พิรมัสมาพบผ้าคลุมหน้าของสาวรักมีรอยถูกสิงโตฟัดจนขาดไม่มีชิ้นดี เข้าใจว่าธิสบีตกเป็นเหยื่อของสิงโตไปแล้วจึงชักมีดแทงตัวเองด้วยความเศร้าเสียใจ ครั้นธิสบีย้อนมาหาคนรัก ณ จุดนัด พบร่างของพิรมัสนอนสิ้นใจอยู่นางก็แทงตัวตายตาม
ศพของทั้งสองหนุ่มสาวผู้บูชาความรักขาดสติไตร่ตรองเคียงข้างกัน ณ ใต้ต้นหม่อน ซึ่งบัดนี้ผลของมันเคยขาวราวกับไข่มุกได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนับแต่นั้นมา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจมิให้หนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรักใจร้อนวู่วามเหมือนพิรมัสกับธิสมี
เทพธิดาวีนัส เทพีผู้ครองความมีลูกดก
(ตำนานนกกระสาคาบเหล็กหย่อนลงปล่องไฟ)
ในสมัยโบราณเชื่อกันว่า เทพธิดาวีนัสนอกจากเป็นเทพีแห่งความรักผู้เลอโฉมแล้ว ยังเป็นเทพีครองความมีลูกดกอีกด้วย ชาวกรีกและโรมันนับถือนกกระสาอันเป็นนกคู่บารมีของเทพธิดาวีนัส โดยรับหน้าที่คาบห่อผ้าซึ่งภายในมีทารกไปมอบให้กับครอบครัวที่จะมีเด็กเกิด หรือหากนกกระสาสองผัวเมียมาทำลังบนหลังคาบ้าน ถือเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเทพธิดาวีนัสโปรดให้ครอบครัวในบ้านนั้นมีลูกและจะประสบความรุ่งเรือง ดังนั้นชาวยุโรปจะรู้สึกยินดีหากมีนกกระสามาทำรังบนหลังคาบ้าน
เรื่องนี้เป็นตำนานที่แต่งขึ้นเพื่อตอบคำถามเด็กๆว่าพวกเขามาจากไหน ตำนานนกกระสานำเด็กมามอบให้ครอบครัวที่จะให้กำเนิดทารก โดยคาบมาหย่อนลงปล่องไฟ จึงพอจะช่วยให้คำถามยากๆคลี่คลายในระดับหนึ่ง
แหล่งอ้างอิง
ธนากิต. (2546). ตำนานเทพเจ้าและวีรบุรุษกรีก-โรมัน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ปิรามิด.
Photo :www.topofart.com
Photo : c0ssette.tumblr.com