ปัญหาเรื่องเทวดา

ผู้ถาม :             “คนที่ชอบบนกับพระภูมิ ท่านสามารถจะช่วยได้จริงหรือเปล่าคะ...?”

หลวงพ่อ :       “ก็ไปถามท่านซิ ฉันไม่ใช่คนถูกบนนี่...?”

ผู้ถาม :             “บางครั้งคนที่ไปบนก็ได้รับความช่วยเหลือก็มีค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยได้อย่างไร...?”

หลวงพ่อ :       “ท่านจะช่วยได้ในสิ่งที่ไม่เกินวิสัย อย่าลืมนะคนกับเทวดานั้นไม่เหมือนกัน

ถ้าสิ่งที่เกินวิสัยเขาก็หมดทางช่วยเหลือเหมือนกัน เคยถามหลวงปู่ปานว่า เขาบนหลวงพ่อเขาขอให้หลวงพ่อช่วยหลวงพ่อแย่ไหม...ท่านบอกว่าไม่หรอก บางทีเขาบนเกินวิสัยท่าน ท่านก็ให้คณะของท่านมาสงเคราะห์พระโพธิสัตย์ทั้งนั้น ท่านต้องการช่วยคนอยู่แล้ว ท่านมีหน้าที่ช่วยคน ท่านทำเพื่อพระโพธิญาณ ถ้าท่านช่วยไม่ไหว องค์อื่นทำงานแทนทันที คณะของพระโพธิสัตว์นี่บารมีเข้มข้นมาก พระภูมิเจ้าที่หรือเทวดา พวกท่านก็มีเยอะเหมือนกัน ความสามารถไม่เท่ากัน ความสามารถเขาดูกันที่มือ องค์ที่มีอานุภาพมาก มือขวาแดงช้าด แดงมากมีฤทธิ์มาก แดงน้อยมีฤทธิ์น้อย ที่ไม่แดงเลยไม่มีฤทธิ์เลย”

ผู้ถาม :             (หัวเราะ) “เราจำเป็นต้องตั้งศาลพระภูมิไหมคะ...?”

หลวงพ่อ  :      “ก็สุดแท้แต่เรา เพราะว่าที่ต้องมีการยกศาลก็เป็นการยอมรับนับถือกัน เรื่องนี้

บางคนเขาชอบสงสัย วันหนึ่งว่างๆ ถามท่านว่าทำไมจึงต้องตั้งศาล ท่านก็เลยบอกว่า ฉันจะเล่าประวัติให้ฟังสมัยดึกดำบรรพ์ชาวบ้านยังไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจ ไปอยู่ที่ไหนก็ตามก็คิดว่าผีสางเทวดาอาจช่วยเขาได้ เขาก็จุดธูปเทียนบูชา ทีนี้ไอ้ที่บูชาที่ไหนมันก็ไม่เหมาะ เขาก็ปักบนกระบอกไม้ ต่อมาภายหลังความสุขสบายมีขึ้น ความเคารพนับถือมีขึ้น อาจจะใช้เวลาหลายชั่วอายุคนก็ได้ ก็คิดว่าเทวดานี่ดีจริง ทีนี้ทำยังไง จะวางกับดินก็ไม่ได้ หาโต๊ะหาตั่งลำบาก ก็ตั้งเป็นศาลเพียงตา ๒ ชั้น เวลาจะถวายอาหารก็เอาไปตั้งบนนั้น ต่อมาภายหลังเขาเกิดสงสารเทวดา ก็เลยทำหลังคาให้ และต่อมาก็ทำเป็นเรือนมีหลังคา ต่อมาก็ประดิษฐ์เป็นเรือนไทย เวลานี้เป็นตึกแล้ว

ก็รวมความว่า ศาลก็คือที่บูชานั่นเอง พระภูมิไม่ได้ขึ้นศาล วิมานท่านมีอยู่แล้ว ทีนี้ศาลที่เราทำเป็นที่บูชา แล้วไปช่วยอะไรเขาได้บ้าง ท่านบอกว่าก็ช่วยได้เท่าที่จะช่วยได้ ถ้าสิ่งใดที่จะช่วยได้ก็พยายามช่วย ถ้าสิ่งใดที่ช่วยไม่ได้ก็พยายามป้องกัน ถ้ากันไม่ได้มากก็กันน้อย แต่ว่ากำลังกันเขามากกว่า เอาเต็มที่ไม่ได้เอาสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี จนกระทั่งเขาไม่บูชา ทีนี้พอจะกันเขาได้ก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะไม่ได้ให้ช่วยจะช่วยได้ยังไงล่ะ เขาก็เฉย

ทีนี้ถ้าถามว่าควรตั้งศาลไหม ถ้าชอบก็ควร ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องตั้ง แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันตั้งนะ และฉันเคยแนะนำให้เขาตั้งศาลทางทิศเหนือกับทิศตะวันออกของบ้าน ถ้าตั้งทางทิศใต้กับทิศตะวันตก ทำมาหากินมาได้เท่าไร ก็ไม่เหลือ”

ผู้ถาม :             “ผมก็ตั้งครับหลวงพ่อ ผมบูชาทั้งพระภูมิทั้งผีบ้านผีเรือน เวลาถวายข้าวพระภูมิ ผมจะมีข้าวตอกให้ผีบ้านผีเรือนด้วย ทีนี้ถ้าผมจะเชิญพระภูมิเจ้าที่ และผีบ้านผีเรือนพร้อมกันเลยได้ไหมครับ...?”

หลวงพ่อ  :      “ว่าได้เลย ทีเดียวพร้อมกัน ผีบ้านและผีเรือนก็หมายถึงภูมิเทวดา ผีอื่นเข้ามายุ่งไม่ได้”

ผู้ถาม  :            “ทีนี้ของถวายเราเอาไว้ในห้องพระได้ไหมครับ...?”

หลวงพ่อ  :      “ได้...วางกับพื้นหรือวางกับโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่งก็ได้ เทวดาก็เหมือนพระ ถ้าวางไว้คนละโต๊ะไม่เป็นไร ไม่ถือว่าเป็นอาสนะเดียวกัน”

ผู้ถาม  :            “แล้วอย่างถวายพวงมาลัยพระ แต่ไม่ต้องจุดธูปเทียนนี่จะได้ไหมคะ...?”

หลวงพ่อ  :      “ได้...ฉันนี่ฝ่ายขี้เกียจจุดธูปเทียน ฉันใช้เทียนไฟฟ้า เวลาบูชาก็กดสวิทซ์แชะเป็นแสงสวยดีกว่า สว่างการใช่ไหม...?”

คือว่าการบูชาด้วยเทียนเป็นการบูชาแสงสว่างหรือเป็นการบูชาด้วยประทีปโคมไฟ ถ้าไฟฟ้าก็สว่างกว่าเทียนะธรรมดา แล้วไม่มีอันตรายจากไฟด้วย มีประโยชน์กว่าเยอะ แต่ถ้าเราหาอะไรไม่ได้ก็เอาธูปน้อย ๆ เทียนน้อย ๆ เป็นแสงสว่างนั่นแหละดี”

ผู้ถาม  :            “ผมเคยฟังเทปที่คุณพรนุชท่องสวรรค์ บอกว่าวิมานของภูมิเทวดาสูงจากพื้นดินสักคืบหนึ่ง ทีนี้เวลาที่ขับรถผ่านไปก็ดี คนผ่านไปก็ดี หรือขี้เยี่ยวก็ดี อย่างนี้ไม่ถูกเขาหรือครับ...?”

หลวงพ่อ  :      “วิมานเขาเป็นวิมานทิพย์ขยับได้ พอขี้จะถูกขยับปั๊บ”

ผู้ถาม  :            “อ้อ...หลบได้ด้วย”

หลวงพ่อ  :      “ไม่ถูก อย่างเขาพระสุเมรุ สูงมากจากพื้นดินไปถึงดาวดึงส์ และดาวดึงส์นั้นอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เครื่องบินยังไม่เคยชนเลย ไม่มีอะไรชนได้หรอกเพราะสภาพเป็นทิพย์”

ผู้ถาม  :            “เป็นอันว่า ขี้เยี่ยวตรงไหนไม่ต้องกลัวไปโดนนะครับ...?”

หลวงพ่อ  :      “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องห่วง เอาอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความมั่นใจเวลาจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ก็ยกมือไหว้ “เจ้าประคุ้น หลบหน่อยเถิด มันจำเป็นจริง ๆ”

ผู้ถาม  :            (หัวเราะ)

หลวงพ่อ  :      “ไม่เป็นไรหรอกนะ สภาพท่านเป็นทิพย์ ไม่มีอะไรกระทบท่านได้”

ผู้ถาม  :            “หลวงพ่อคะ บ้านทุกหลังมีพระภูมิเจ้าที่อยู่ไหมคะ...?”

หลวงพ่อ  :      “เขาคงไม่อยู่นะ พระภูมิองค์หนึ่งรักษาเขตเป็นกิโล ๆ องค์เดียวกันนี่นะ เคย

ถามเขาว่าคนที่คุณรักษาในเขตกรุงเทพเป็นกิโลนี่คนมันมากเหลือเกิน มีเป็นล้าน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำดีทำชั่ว ต่างกรรมต่างวาระ คุณรู้ได้ยังไง เขาบอกว่าอารมณ์จิตผมเป็นทิพย์ครับ คือไม่ต้องไปถามดูหรอก มันขึ้นเอง คือว่าบัญชีมันขึ้นเลย มันจะบอกเลยว่าใครทำอะไร เขาบอกว่า เขามีหน้าที่รับทราบคนที่ทำความดีความชั่ว เมื่อถึงเวลาวันโกน วันกลางเดือนหรือวันสิ้นเดือน จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชมารับบัญชี และก็จะไปส่งให้เทวดาที่เป็นมหาอำมาตย์ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ก็เสนอท้าวมหาราช ๆ ท่านก็จะแบ่งบัญชีเป็น ๒ บัญชี ใครทำบาปกันไว้ประเภทของบาป ใครทำบุญกันไว้ประเภทของบุญ ประเภทบาปก็ให้เทวดา ๔ องค์ ที่เรียกว่าเทวทูตนำไปส่งสำนักพระยายมตัวท่านท้าวมหาราชเอง พอเวลาวันพระก็นำไปส่งที่ประชุมของเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเทวดามาประชุมกันที่เทวสภาหรือศาลาสุธรรมา บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อทราบว่าคนทำบุญมากก็ดีใจ แต่หน้าที่ที่จะนำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ คือ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร มีหน้าที่เป็นเลขาพระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้ว ก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้นให้มวลหมุ่เทวดาที่มาประชุมกันทราบ ถ้าระหว่างวันพระไหนมีคนทำบุญมาก บัญชีบุญบัญชีกุศลมาก บรรดาเทวดาทั้งหลายก็ดีใจ กล่าวกันว่าต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว เพราะอาศัยความดีดีใจปลื้มใจที่มีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำทั้งเทวดาและนางฟ้า ความจริงสวยจริง ๆ นะ แต่วันพระไหนถ้าบังเอิญคนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลายได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราชก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตาม ๆ กัน”

ผู้ถาม  :            “ความจริงเราบูชาเทวดาก็ดีเหมือนกันนะครับ”

หลวงพ่อ :       “เขาเป็นเทวดา เราบูชาได้ อย่าลืมว่าเขาเป็นเทวดาแล้ว เรายังไม่เป็นเทวดาเรา

จะถือว่าเราดีกว่าเค้าไม่ได้ ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นภูมิเทวดา ท่านก็เป็นเทวดาแล้ว เรายังไม่เป็นเทวดา ยังเอาแน่ไม่ได้ ใช่ไหม...เวลาที่เราบูชาเทวดาในวิสุทธิมรรคท่านเรียกว่า เทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของเทวดา คือเขาจะเป็นเทวดาได้ด้วยคุณธรรม ๒ ประการคือ หิริ กับ โอตตัปปะ เรื่องชั่วนี่เขาไม่ทำ เขาจึงเป็นเทวดาได้ เราก็ใช้แบบนั้นและเขาก็ดีจริง ๆ ถ้ามีอะไรขัดข้องที่จะต้องทำ ถ้าไม่เกินวิสัย เขาจะมาบอกเลย ท่านจะมาบอกก่อนเสมอ”

ผู้ถาม  :            “หลวงพ่อคะ ภูมิเทวดานี่จะอยู่ถึงศาสนาพระศรีอริย์ไหมคะ...?”

หลวงพ่อ :       “ถ้าเทวดาองค์นั้นไม่จุติก็อยู่ถึง”

ผู้ถาม  :            (หัวเราะ)

หลวงพ่อ  :      “ภูมิเทวดาก็มีอายุเท่ากับอากาศเทวดา คือจาตุมหาราช แต่ว่าจะเอาแน่กับท่านล่ะ เทวดามี ๒ ประเภศ เทวดาขยัน กับเทวดาขี้เกียจคือว่าเทวดาขยันนี่ ถ้าเป็นพระโพธิสัตย์ ก็ขยันจุติมาบำเพ็ญบารมีเพิ่ม ถ้าเทวดาขี้เกียจก็ปล่อยเต็มหุ่ย หมดอายุเมื่อไรจุติเมื่อนั้น”

ผู้ถาม  :            “อายุของภูมิเทวดาเท่าไรคะ..?”

หลวงพ่อ  :      “ภูมิเทวดามีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ๕๐ ปี ของเราเป็น ๑ วันของเขา ก็ลองคิดซิ อีกล้านปีพระศรีอาริย์จึงจะตรัส”

ผู้ถาม  :            “ภูมิเทวดาเป็นพวกเดียวกับรุกขเทวดา หรือเปล่าคะ...?”

หลวงพ่อ  :      “ก็เหมือนกัน แต่รุกขเทวดาอยู่สูงกว่าหน่อย อยู่บนต้นไม้ ถ้าต้นไม้พังวิมานก็พังก็ต้องเดินดินเหมือนกัน คือลอยไม่ได้”

ผู้ถาม  :            “ค่ะ ทีนี้มีอีกอย่างนะคะที่หนูสงสัย คือเวลาที่หนูสวดมนต์บูชาพระแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปยังสัตว์โลกทั้งหลาย แต่มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกว่า ให้อุทิศส่วนกุศลแก่ท้าวเวสสุวัณด้วย เพื่อให้ท่านเป็นพยาน ท้าวเวสสุวัณคือใครคะ...?”

หลวงพ่อ  :      “ท้าวเวสสุวัณ ก็คือท้าวมหาราชองค์หนึ่ง มี ๔ องค์ด้วยกัน คือ ท้าวธตรฐ

ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสุวัณถ้าเทวดาชั้นจาตุมหาราช เขาจะมีสอบแบบนะ ยามปกติเขาจะอยู่ในฐานะทหารของพระอินทร์ เขาจะมีรูปร่างเหมือนคนนี่ล่ะ แต่ว่าเป็นคนละแบบ ท่าทางจะไม่สวยนัก แต่ถ้าเขาเข้าเครื่องทรงธรรมดาจะคล้ายพรหมหมด สวยมาก เพราะพวกนี้ก่อนตายเขาได้ฌาน แต่ว่าไม่ได้ถึงฌาน ๔ ได้แค่ฌาน ๑,๒,๓ และก่อนจะตายไม่ได้เข้าฌานตาย เขาจึงไปเป็นพรหมไม่ได้ จึงต้อพักแค่จาตุมหาราช พอไปชั้นนี้ฌานก็ทรงตัวตามเดิม แต่ก็ยังไปเป็นพรหมไม่ได้ ต้องทำงานตามเวลาก่อน เมื่อหมดวาระก็ไปเป็นพรหมตามกำลังของฌาน เวลาเขาแต่งเครื่องทรงเทวดานี่ รูปร่างเพรียวหมด มีสภาเหมือนกับพรหม เพราะเขาไปจากฌาน เวลาอยู่ปกติเขาจะมีรูปร่างไม่เหมือนกัน อย่างลูกศิษย์ท้าวธตรฐนี่มีรูปร่างเพรียว ๆ สวยสะโอดสะองหน่อย ๆ

ถ้าลูกศิษย์ท้าววิรุฬหก เขาเรียกกุมภัณฑ์ อ้วนต่ำ

ถ้าลูกศิษย์ท้าววิรูปักษ์ บอกลักษณะยาก ก็เหมือนกับคนเรานี่ อ้วน ๆ ล่ำ ๆ แต่สูง

ถ้าลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณนี่ ผมหยักโศก ท่าทางทะมัดทะแมงแข็งแรงมาก

แต่เทวดา ๔ ทิศนี่ มีพระท่านหนึ่ง จ.อยุธยาบอกว่า เทวดา ๔ ทิศนี่ มีเกเรจริง ๆ อยู่ ๒ ทิศ คือลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณ กับลูกศิษย์ท้าววิรุฬหก แต่ความจริงเขาเข้มแข็งเอาเหมือนกัน ถามว่าเกเรเพราะอะไร แกก็ไม่บอกให้ฟัง มีวันหนึ่งเขาสร้างศาลาหลังใหญ่ เขาจะยกเสาขึ้นไปท่านก็จัดการบวงสรวง ฉันก็ไปในงานนั้นด้วย แต่มีเหล้าอยู่แก้ว ถามว่าทำไมต้องมีเหล้า เขาบอกว่าตำราเขามีอย่างนี้ ก็บอกว่า ตายล่ะ...ที่ท่านบอกว่าเทวดา ๒ ทิศเกเร ก็ท่านทำอย่างนี้ก็เกเรซิ เขาก็ถามว่า ทำไม ก็บอกว่าแกเลี้ยงเหล้าก็เมา แกบอกว่าตำราเขาว่าอย่างนั้น แกทำมาเรื่อย ๆ ก็บอกตามใจ วันนี้เมาหมด ก็จริง ๆ เสาขึ้นเสาเมา ขื่ขึ้นขื่อเมา เมาหมดทุกอย่าง นี่เป็นอย่างนี้

ทีนี้เวลาอุทิศส่วนกุศลแล้วบอกให้ท่านเป็นพยานอันนี้ดี เมื่อก่อนฉันนึกว่าเขาพูดเล่น คิดว่าเขาเพ้อเจ้อ ฝากเทวดาให้เป็นพยานว่าก็ว่าไม่น่าเชื่อ ต่อมาพอมีประสบการณ์จริงจังจึงเชื่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงมีหลายคน พวกที่บอกฝากนี่นะ เวลาที่แกตายบางทีกำลังใจแก่อ่อน คือสมถวิปัสสนานี่แกไม่เอาเอาแต่ทำบุญธรรมดา เวลาจะตายจิตก็เฝือหน่อย ห่วงนั่นนิด ห่วงนี่หน่อย นั่นเขาเรียกว่าจิตเฝือ ก็ต้องลงไปที่สำนักพระยายมก่อน เวลาไปอยู่สำนักพระยายม เวลาท่านสอบสวนกรรมบางอย่างมันปกปิด ถามเรื่องบุญมันนึกไม่ออก ถ้าเขานึกถึงบุญไม่ออก ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปล่อยให้ลงนรก หากถาม ๓ เที่ยวนึกไม่ออก ท่านก็จะได้ประกาศว่า เขาเคยบอกฉันไว้ว่า เวลาเขาทำบุญให้ฉันเป็นพยาน แล้วท่านก็ประกาศกุศลนั้น ก็ได้ไปสวรรค์ อันนี้ดีนะ แต่จะหาว่าท่านเล่นพรรคเล่นพวกไม่ได้นะ ท่านไม่ได้จำกัด”

ผู้ถาม  :            “แล้วพระยายมล่ะคะ...?”

หลวงพ่อ  :      “พระยายมนี่เป็นตำแหน่ง ความจริงท่านเป็นพรหมและสำนักพระยายมก็อยู่

ในเขตของจาตุมหาราช ไม่ใช่เขตนรก เวลาเราไปที่สำนักพระยายม เราจะเห็นมีวิมานสวยสดงดงาม แล้วก็เป็นทุ่งโล่งเตียน มีสวนดอกไม้สวยสดงดงาม เวลาจะมองดูนรกต้องมองไปทางตะวันออกไกลมาก จะเห็นแสงเพลิงมันสว่างพุ่งขึ้นบนอากาศ เป็นลานกว้างมาก ทีนี้โดยมากคนเข้าใจว่าพระยายมเป็นพวกของนรก ความจริงท่านไปนั่งกันมิให้ลงนรกนะ”

ผู้ถาม  :            “ยังงั้นให้ท่านพระยายมเป็นพยานองค์เดียวก็ได้ใช่ไหมคะ...?”

หลวงพ่อ  :      “องค์นั้นองค์เดียวก็พอ เพราะถ้าท่านไม่กั้นละก็...ป๋อง...”

ผู้ถาม  :            “หลวงพ่อลงไปเที่ยวคงร้อนมากซิคะ...?”

หลวงพ่อ  :       “ใช่ ร้อนกว่าไฟธรรมดาหลายแสนเท่า มันร้อนกว่าไฟที่เราใช้อยู่นี่นะ แต่ถ้า

เราลงไปเที่ยวไม่ร้อน ถ้าเราลงขุมนรกได้แต่ขอบ ๆ ลงไปในขุมเขาไม่ได้นะ มีเจ้าหน้าที่เขาคอยกันอยู่ ถ้าลงขุมไฟเขาดับ ถ้าเราจะไปเที่ยวนรก เราจะไปตามลำพังมันก็ไม่เกิดประโยชน์ เราต้องไปสำนักพระยายมก่อนแล้วไปขอคนจากสำนักพระยายมคนหนึ่ง เราจะไปขุมไหนเขาจะพาไป ถ้าเราไปคนเดียว ถ้าเราเจอสัตว์นรกสักคนหนึ่ง เราเห็นเราก็รู้เลยว่าใครเป็นใคร ถ้าเราต้องการจะเรียกขึ้นมาพูดเขาไม่ให้ขึ้นมาหรอก ถ้าหากไปพูดกับนายนิริยบาลขอให้คนนั้นขึ้นมา เขาจะไม่พูดกับเรา ต้องให้คนจากสำนักพระยายมไปบอก คนที่ได้ก็คือเทวดา ถ้าเทวดาองค์นั้นท่านไปกับเรา เราต้องการจะคุยกับคนนี้ เขาก็บอกนายนิริยบาลให้เอาคนนั้นขึ้นมา พอเขาบอกเขาเรียกขึ้นมา เครื่องพันธนาการก็หลุด ไอ้หอกดาบที่ติดตัวเขาก็หลุด ไฟที่ไหม้ท่วมตัวเขาก็ดับ พอขึ้นมาก็เป็นรูปเดิม ถ้าเราถามประวัติเดิม เขาจะบอกตามความเป็นจริงหมด มันมีเมืองโกหกอยู่เมืองเดียว คือเมืองมนุษย์ เมืองผีนี่ไม่มีการโกหก”

ผู้ถาม  :            “หลวงพ่อคะ กาลเวลาของโลกทิพย์กับโลกมนุษย์ตรงกันไหมคะ...?”

หลวงพ่อ  :      “ตรงกันพอดี ของเรา ๑๐๐ ปี ตรงกับดาวดึงส์ ๑ วัน พอดี ของเรา ๕๐ ปี ตรงกับจาตุมหาราช ๑ วันพอดี ของเรา ๒๐๐ ปี ตรงกับยามา ๑ วันพอดี แต่ว่าของเรา ๙ ล้านปี ตรงกับสัญชีพนรก ๑ วันพอดี ตรงกัน”

ผู้ถาม  :            “หลวงพ่อครับ แล้วอย่างพวกอสูรนี่เป็นพวกยักษ์หรือว่าเทวดาครับ...?”

หลวงพ่อ  :      “อสูรเป็นเทวดาพวกหนึ่ง อสูร เขาแปลว่า ไม่กล้า ยักษ์ เขาแปลว่า บุคคลที่ควรบูชา ถ้าแปลอีกคำหนึ่งให้ตรงศัพท์ เขาแปลว่า เทวดา แต่เราไปตีความหมายเขาผิด ถ้ายักษ์ละก็รูปร่างน่ากลัว แต่ไอ้ยักษ์ที่น่ากลัวก็มียักษ์เดียวคือ “ยักยอก” ยักนี้มันไม่มีเขี้ยว มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เผลอเมื่อไรเป็นเอาหมดเลย

คนที่จะเป็นอสูรได้เพราะทำบุญผสมโทสะ หมายความว่าเวลาจะทำบุญมีคนมาพูดนิด ๆ หน่อย ๆ มันเกิดโมโห พอจะรับศีลก็มีคนมาสะกิดแขนอีกแล้ว ก็โมโห ฉะนั้นหน้าก็ยุ่งไปนิด หน้าเขาสวยน้อยกว่าเทวดานิดเดียว และเขาก็มีวิมานเหมือนกันและอีกประการหนึ่งคำว่า กามาวจร ซึ่งแปลว่า อารมณ์ที่เที่ยวไปในความใคร่ คำว่าใคร่ตัวนี้ อย่านึกว่าเทวดาเขาใคร่เหมือนคนนะ ถ้าเทวดามีความใคร่เท่าคนเขาไม่เรียกเทวดา เขาเรียกว่า คน เทว แปลว่า ประเสิรฐ

ทีนี้ความใคร่ของผู้ประเสริฐนั้นหมายความถึงมีความเนื่องถึงกัน โดยมีความรู้สึกว่า คนนี้เป็นสามี คนนั้นเป็นภรรยา คนนี้เป็นลูก คนนั้นเป็นบริวาร ก็มีเท่านั้น ยังมีความห่วงใยกันอยู่ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมา ก็ยังมีความกังวลเรื่องความประพฤติว่าเขาจะทำดีหรือทำชั่ว จะต้องพลัดลงไปในอบายภูมิหรือเปล่า ฉะนั้นเทวดาพวกที่มีผัวเมียก็เหมือนกับคนที่รักษาอุโบสถ คนที่เขารักษาอุโบสถ เขาก็เว้นจากกามารมณ์เหมือนกัน เทวดาจึงไม่มีการเสพกาม

การเกิดของเทวดาถ้าจะเกิดเป็นลูก พอตายจากมนุษย์ปั๊บก็ไปเกิดบนตักของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ถ้าเป็นผู้ชายเขาเรียกว่าเทพบุตร ถ้าเป็นผู้หญิงเรียกว่า เทพธิดา เป็นหนุ่มสาวเท่านั้นจนกว่าจะจุติ

ถ้าหากว่าไปเกิดในที่นอนของใคร หมายถึงว่าเป็นคู่ครองขององค์นั้น บรรดาบริวารทั้งหลายเป็นพันเป็นหมื่นไม่มีการเลื่อนฐานะ ไม่มีการยกอันดับเหมือนเมืองมนุษย์นะ

ถ้าหากว่าจะเกิดเป็นบริวาร ถ้าเกิดในวิมานของใครตั้งแต่รั้ววิมานเข้าไป ก็เป็นขององค์นั้น แต่ถ้าเกิดกึ่งกลางจากวิมานไหนก็ตามสี่หลังวัดไปเท่ากัน แต่ว่าหันหน้าไปวิมานไหน ก็เป็นบริวารนั้นของเทวดาองค์นั้น

ทีนี้ความรู้สึกของพรหม ซึ่งแปลว่า เป็นผู้ประเสริฐที่ไม่เรียกว่า กามาวจรก็เพราะว่าความใคร่ไม่มี เพราะพรหมอยู่ผู้เดียว ขึ้นชื่อว่าสามี ภรรยา บุตรธิดาไม่มี คำว่าบริวารนั้นหมายถึงพวกพ้อง ต่างคนต่างอยู่วิมานคนละหลัง ฉะนั้นอารมณ์เนื่องถึงกันในฐานะต่าง ๆ จึงไม่มีในพรหม พรหมเขาอยู่ด้วยอำนาจของธรรมปิติเฉยๆ คำว่าเฉย ๆ ถ้าท่านจะคุยกันก็คุยด้วยธรรมปิติ ดังนั้นพวกพรหมจึงมีอารมณ์สงบกว่าเทวดา ไม่มีกังวลอย่างเทวดา จิตเขาเลยเบากว่าเทวดา”

Visitors: 355,914